บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน
บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน
บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน
บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน บริษัท บาริโอ จำกัด : รับออกแบบตกแต่งภายใน
 
 

 

ดูหนังกะฟังเพลง..เก่าๆ

 

หายหน้าไปหนึ่งเดือนเต็มๆ อันเนื่องมาจากคิดเรื่องไม่ออก เลยต้องขอเว้นวรรคไปซะ 30 วัน ตอนนี้ รำเพยก็ได้กลับมาสร้างความวุ่นวายให้กับคุณๆ อีกรอบนึงแล้วค่ะ

สำหรับเดือนนี้ รำเพยได้โจทย์มาว่าให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องเพลงสลับกับเรื่องภาพยนตร์บ้าง แบบว่า
บอกอท่านเกิดอยากเปลี่ยนอารมณ์ แต่อีกใจนึง บอกอแกก็อยากให้มีเรื่องภาพยนตร์ไว้เหมือนกัน ฝ่ายรำเพยก็รับโจทย์มาคิดไปคิดมา เลยตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับภาพยนตร์เพลงมันซะเลย จะได้มีทั้งหนังทั้งเพลงในเรื่องเดียวกัน แต่เนื่องจากช่วงนี้ ภาพยนตร์เพลงไม่ค่อยมีมาในท้องตลาดมากนัก รำเพยจึงต้องยึดเอาเรื่องเก่าๆ ที่น่าประทับใจมาขายให้คุณๆ ได้อ่านกัน เลยกลายเป็นที่มาของชื่อ “ดูหนังกะฟังเพลง..เก่าๆ” ที่เห็นอยู่นี่ไงล่ะคะ

“Little shop of Horrors” (1986) สำหรับแฟนๆ ภาพยนตร์ที่มีอายุมากกว่า 30 กว่าๆ ขึ้นไป คงจะคุ้นๆ กัน เพราะหนังเรื่องนี้ น่าจะนำออกฉายในเมืองไทยในราวปี พ.ศ. 2529 หรือ 30 เนี่ยแหละคะ เป็นเรื่องราวขอภาพยนตร์เพลงที่สนุกสนาน เต็มไปด้วย Effect แนวแฟนตาซี ที่จะมาสยองขวัญของคุณโดยเฉพาะ ใช่แล้วค่ะ Little shop of Horrors เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เต็มไปด้วยเพลงที่สนุกสนาน เร้าใจและมุมกล้องตลอดจนภาพที่ได้ จัดว่าสุดยอดจริงๆ

แม้ว่ารำเพยจะอายุไม่ถึงเกณฑ์ข้างบน แต่ก็มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้โดยบังเอิญ คือบังเอิญวันนั้น รำเพยไปหาซื้อแผ่น DVD ที่ร้านโปรด แต่กลับไม่มีหนังใหม่ที่น่าสนใจ ด้วยความที่มีเวลาเหลือ เลยขอเดินเล่นสักหน่อย และก็ได้ไปเห็นแผ่น DVD ลดราคา ยิ่งพอทราบว่า Frank Oz เป็นผู้กำกับด้วย เลยทำให้ตัดสินใจควักตังค์ในกระเป๋ามาซื้อเก็บไว้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ

 

 
 
 
 

Frank Oz ที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มีชื่อเสียงในด้านกำกับภาพยนตร์ตลกเบาสมองที่มีคุณภาพหลายเรื่อง เช่น Dirty Rotten Scoundrels (1988) ชื่อไทยว่า “เหนืออินทรียังมีกระจอก” ที่พระเอก Steve Martinเฉือนบทตลกกับพระเอกใหญ่มาดสุขุมอย่าง Michael Kaine หรือ House Sitter นำแสดงโดย Steve Martin (อีกเช่นเคย) กับGoldie Hawn ซึ่งนอกจากนี้ ก็ยังมี The Indian in the Cupboard ที่รำเพยเคยได้ดูตอนเด็กๆ เป็นเรื่องราวของอินเดียนแดงตัวเล็กจิ๋วกับเด็กชายเจ้าปัญหา หรือภาพยนตร์เรื่อง Bowfinger (Steve Martin กับ Eddie Murfy) และ The Stepford wives ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดที่เข้ามาฉายในบ้านเรา (นำแสดงโดย Nichol Kidman, Matthew Boderick, Glenn Close และ Bette Mitler)

นอกจากเป็นผู้กำกับแล้ว Frank Oz ยังผูกขาดกับการเป็น Voice ให้กับตัวการ์ตูนดังๆ อีกหลายตัว เช่น Miss Piggy ใน Sesame Street หรือ Yoda ปรมาจารย์ใน Starwars เป็นต้น

 

 
 
 
 

 

แต่สำหรับเรื่อง Little shop of Horrors นี้ Frank ได้สร้างให้เป็นเรื่องราวแนวแฟนตาซีเกี่ยวกับต้นไม้ประหลาดชนิดหนึ่ง ที่บังเอิญเกิดขึ้นในวันที่มีสุริยคราส และ Seymour พระเอกของเรื่องไปซื้อมาไว้ในร้านขายดอกไม้ของเขา (แสดงโดย Rick Morranis) ซึ่ง Seymour นี้ก็เป็นหนุ่มผู้อาภัพที่ไปหลงรักกับ Audrey ลูกจ้างสาวในร้านเดียวกัน แต่ Audery เองก็มีแฟนอยู่แล้ว เป็นทันตแพทย์โรคจิต (แสดงโดย Steve Martin) ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่เลวร้าย แต่ Audrey เองก็ไม่กล้าเลิกความสัมพันธ์นี้ โดยให้เหตุผลว่า กลัวที่จะพบกับความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกว่า (ทำนองกลัวความเปลี่ยนแปลง.. อันนี้ รำเพยพบบ่อย)

เจ้าดอกไม้ประหลาดนี้ ก็เป็นตัวนำโชค ทั้งโชคดีและโชคร้ายสำหรับ Seymour โดยโชคดีที่ทำให้ร้านขายดอกไม้ที่ใกล้จะปิดกิจการของเขา กลับมาฟื้นตัว และขายดิบขายดีขึ้นมา แต่โชคร้ายที่ Seymour เองก็ต้องแลกด้วยหยดเลือดของตัวเองที่ต้องป้อนเป็นอาหารของเจ้าต้นไม้ประหลาดนี้ด้วยเช่นกัน

 

 
 
 
 

จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ อยู่ตรงเพลงประกอบที่มีตลอดเรื่อง สมกับเป็นภาพยนตร์เพลงจริงๆ และเป็นเพลงที่มีคุณภาพสูงอีกต่างหาก โดยเพลงส่วนใหญ่ จะมีตัวเดินเรื่องเป็นนักร้องหญิงผิวสีสามคน ที่ร้องเพลงในแนวของDoowop ยุค 50 ร้องประสานเสียงกันอย่างไพเราะ และเมื่อรวมกับเทคนิคการถ่ายทำที่ตั้งใจให้เป็นแฟนตาซีนิดๆ ชนิดที่ไม่ Over แต่เน้นในเรื่องของความรู้สึก ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกทั้งครอบครัว และไม่ต้องกังวลว่าเด็กจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะทั้งภาพและอารมณ์เพลงใช้สื่อความหมายได้เป็นอย่างดีค่ะ

ยอมรับว่า เรื่องนี้ทำให้รำเพยยอมรับในฝีมือของนาย Frank Oz นี้มากขึ้นโขเลยทีเดียว จากที่แต่เดิมนึกว่าจะสร้างเป็นแต่หนังตลกทำเงิน แต่เรื่องนี้ต้องเพิ่มคำว่า “คุณภาพ” เข้าไปอีกคำนึงด้วยค่ะ

 

THE LITTLE SHOP OF HORRORS

 
 
 

 

สำหรับคอหนังเพลงยุค 50 (เก๋ากึกส์) คงจะไม่มีใครที่หลุดรอดหรือไม่รู้จักเรื่อง “Singing in the Rain” ที่นำแสดงโดย Gene Kelly, Donald O’Corner และ Debbie Reynolds นางเอกสาวหน้าหวาน (อันนี้ รำเพยยอมรับว่ารู้จักแต่นาย Gene Kelly คนเดียวจริงๆ ค่ะ คนที่เหลือเพิ่งจะมารู้จักก็ด้วยเรื่องนี้เอง) โดยเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง ก็ได้กลายเป็นเพลงคลาสสิคที่น่าฟังตลอดกาลไปแล้ว

เรื่องราวของพระเอกหนุ่มหนังเงียบที่ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าตอนแรกจะขัดขืนอยู่บ้าง แต่พอโลกเปลี่ยน ทุกคนก็ต้องเปลี่ยนตาม อันเป็นสัจธรรมที่หนีไม่พ้นแม้แต่ดาราใหญ่ก็ตาม โดยพล็อตของหนังจะพูดย้อนยุคไปในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากยุคหนังเงียบ มาเป็นหนังที่มีเสียงในฟิลม์ ทำเอาทั้งโรงถ่าย ตั้งแต่ดารายันผู้กำกับต้องปวดหัว กับการปรับตัวกันใหญ่ ซึ่งตอนนี้เรียกเสียงหัวเราะจากรำเพยได้ก้ากใหญ่เชียวค่ะ

 

 
 
  Singing in the Rain
 

นอกจากนี้ พอหนังเสร็จออกมา กลับมีผลตอบรับในช่วงทดลองฉายที่แย่กว่าที่คิด เพราะตัวนางเอกยอดนิยมในเรื่องกลับมีน้ำเสียงที่ชวนให้หัวเราะเป็นอย่างยิ่ง ทำเอาทุกคนปวดหัวไปหมด แต่สุดท้าย เพื่อนพระเอกหรือพระรอง คือนาย O’Corner ก็นึกออก โดยให้ตัวแฟนของพระเอก (นางเอก) ที่มีเสียงสวยกว่า ไปพากษ์แทนตัวนางเอกยอดนิยม และดัดแปลงให้กลายเป็นภาพยนตร์เพลงซะ

ฉากที่น่ารักของ Gene Kelly และ Debbie Reynolds คือตอนที่นางเอกที่ทำเหมือนไม่รู้จักพระเอกเลย ยอมรับอย่างอายๆ ว่าติดตามภาพยนตร์ที่พระเอกของเรานำแสดงอยู่อย่างสม่ำเสมอ รำเพยว่าตอนนั้น เป็นตอนที่นางเอกน่ารักมากที่สุดเลยค่ะ

 
 
 
 

 

นอกจากนี้ ฉากที่ประทับใจอีกฉากหนึ่ง คือตอนที่พระเอก Gene Kelly ร้องเพลงและเต้นรำท่ามกลางสายฝน ตามชื่อเพลง “Singing in the rain” แถมด้วยฉากตอนที่สามสหาย คือพระเอก พระรอง และนางเอก (Debbie Reynolds) ร้องเพลงและเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะคิดออกว่าจะแก้ไขปัญหาของภาพยนตร์ของตัวกันอย่างไร และที่สำคัญเรื่องนี้ จะเด่นที่สุดในด้านของการเต้น Tap หรือ Tap Dance ค่ะ

 

 
 
  Singing in the rain  
 
 

 

ส่วนตัวละครที่น่ารักอีกตัวหนึ่งที่รำเพยชื่นชอบ คือตัวเจ้านาย หรือเจ้าของหนังตามท้องเรื่องค่ะ เพราะรำเพยรู้สึกเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่มีน้ำใจต่อลูกน้องอย่างเสมอภาคกัน โดยจะเห็นได้ชัดจากตอนที่นางเอกยอดนิยมไปไล่เบี้ยกับทางเจ้าของหนังให้บังคับ Debbie ให้ยอมเป็นเสียงให้เธอตลอดอายุสัญญา และห้ามไม่ให้ออกแสดงเรื่องอื่นๆ ซึ่งรำเพยว่าถ้าเป็นในยุคดิจิตอลแบบนี้ ใครๆ ก็ต้องยอมตัวนางเอกยอดนิยมแหละค่ะ ก็เป็นตัวทำเงินนี่คะ แต่ตัวเจ้าของหนังกลับไม่ยินยอมทำตาม จนนางเอกตัวร้ายต้องเอาสัญญามาขู่

น่าเสียดายที่รำเพยหาข้อมูลเพิ่มเติมของดาราสูงอายุท่านนี้มาไม่ได้ เลยต้องปล่อยให้เลยตามเลยไป แย่จัง..

สำหรับภาพยนตร์เพลงเรื่องสุดท้ายในเดือนนี้ รำเพยตัดสินใจอยู่นานว่าจะเขียนเรื่อง The Sound of Music ดี หรือจะเขียนเรื่อง Moulin Rouge ดี แต่ในที่สุด The Sound of Music ก็ชนะ ด้วยเหตุผลที่ว่าจัดเป็นหนังเก่าพอๆ กับเรื่องข้างบนค่ะ

ในยุคของภาพยนตร์เพลงมีบทบาทสำคัญในท้องตลาด เรื่อง The Sound of Music ได้โดดเด่นออกมาจากหนังในท้องตลาดอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยเนื้อเรื่องที่คลาสสิค หรือบทเพลงที่ไพเราะ ไม่ว่าจะเป็น Do-Re-Mi, Cuckoo, The Lonely Goatherd ที่เป็นที่โปรดปรานของเด็กๆ เป็นอย่างมาก แล้วยังมีเพลงที่แสนไพเราะตามชื่อดอกไม้อย่างเช่น Edelweiss ที่เป็นดอกไม้ป่าและขึ้นมากในเทือกเขา Alps ในยุโรป และสมเด็จย่าของเราก็ได้ทรงทดลองเพาะปลูกจนเป็นผลสำเร็จที่ดอยตุง และนำขึ้นถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทุกคนค่ะ

 

 
 
 
 

อีกนิดนึง Edelweiss เป็นภาษาเยอรมัน แปลได้ว่า ขาว และสูงศักดิ์ เป็นดอกไม้ขนาดเล็กที่ขึ้นในที่สูงตั้งแต่ 1,700 – 2,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นดอกไม้ที่ถือว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของหุบเขาแอลป์เลยทีเดียว และยิ่งไปกว่านั้น ในสมัยก่อน บุรุษจะสามารถพิสูจน์รักแท้ได้โดยการขึ้นไปเก็บดอก Edelweiss ที่บนเทือกเขามาฝากสาวคนรัก เพราะการขึ้นเขาในยุคนั้น จัดว่าอันตรายมาก ดังนั้นหากหนุ่มใดที่สามารถไปขึ้นไปเก็บดอกไม้ลงมาได้ ต้องถือว่าเป็นคนที่กล้าหาญ และมีความตั้งใจอย่างสูงมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ดอก Edelweiss ยังเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของกษัตริย์และราชินีอีกหลายพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ์ของออสเตรีย Franz Josef หรือกษัตริย์เยอรมัน Kaiser Wilhelm และกษัตริย์แห่งแคว้นบาวาเรีย Ludwig ที่สอง (องค์ที่สร้างปราสาทที่สวยเหมือนดั่งในเทพนิยาย หรือ Neuschwanstein Castleนั่นแหละค่ะ)

 
 
 
 

อย่างไรก็ดี เจ้าดอกไม้ลือชื่อนี้ กลับไม่ใช่ดอกไม้สีขาวตามชื่อซะทีเดียว เพราะตัวดอกนี้จริงๆ จะสีเหลืองทองเป็นกลุ่มอยู่ตรงกลาง แต่ส่วนที่เราเข้าใจว่าเป็นกลีบดอก กลับเป็นส่วนใบที่มีขนสีขาวปกคลุมอยู่คะ (รำเพยก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน อาศัยแปลเอา.. ตอนขึ้นไปดอยตุง ก็ถามหาเจ้าดอก Edelweiss ก็ไม่มีใครรู้จัก.. เฮ้อ..)

The Sound of Music เป็นเรื่องราวของแม่ชีสาว ได้ออกไปเป็นครูพี่เลี้ยงให้กับลูกๆ ทั้งเจ็ดของนายทหารหนุ่มผู้ร่ำรวยชาวออสเตรียน ก่อนที่จะค้นพบตัวเองว่าบางครั้ง การเป็นคนธรรมดาก็อาจเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

เอาล่ะคะ สำหรับเดือนนี้ รำเพยขอลาไปก่อน และเดือนหน้ารำเพยสัญญาว่าจะกลับมาพร้อมกับภาพยนตร์เพลงยุคปัจจุบันบ้างค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่ได้ติดตามรำเพยมาอย่างสม่ำเสมอนะคะ..

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
รำเพย

 
 

 

 

 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 Tel. 66 2881 8536-7 Fax. 66 2881 8538
house servic, decoration design home architect architecture interior design designer homeplan residential furniture family decorat building build planning cost news information structure arch drawing apartment idea bangkok develop foreman เฟอร์นิเจอร์ การซ่อมแซมบ้าน วัสดุแต่งบ้าน ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องอาหาร ออกแบบ ตกแต่งภายใน ออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ บ้านสวย มัณฑนากร สถาปัตย์ ตกแต่ง บารีโอ บริการ ปรึกษา รับสั่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามแบบ รับเหมาตกแต่ภายใน วรวุฒิ ธรรมกุลางกูร มยุรี ธรรมกุลางกูร