กลับเป็นเด็กที่ “พิพิธภัณฑ์เด็ก”

เฮ่อ !!! ยากจัง...โจทย์สำหรับ Travel คราวนี้ คือเรื่องราวของเด็ก มานั่งคิดๆๆ ว่าที่เที่ยวของเด็กมีอะไรบ้าง นอกจากการไปเที่ยวเขาดิน หรือสวนสยามแล้วมีที่ไหนอีก ที่ที่เด็กๆ ไปแล้วมีความสุข และอยากไปอีกครั้ง คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก แล้วโชคก็ช่วย บังเอิญว่าวันนี้เป็นวันหยุดของสาวน้อย(หลานตัวไม่น้อยของเรา) เห็นมะลินั่งปวดหัวอยู่เลยเสนอ จะพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เด็กเอาไหม แค่ได้ยินมะลิก็หูผึ่งแล้วค่ะ โอเค..โอเค ไปสิ

ขอแนะนำไกด์พิเศษในวันนี้ สาวแบมแบมก็ออกตัวว่าเคยไปกับคุณครูตาล เมื่อตอนปิดภาคเรียนที่แล้ว ไปแล้วชอบมากมาก อยากไปอีก“พิพิธภัณฑ์เด็ก” หลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังสวนจตุจักรเข้าได้ทั้งด้านถนนพหลโยธินและทางด้านถนนกำแพงเพชร

พิพิธภัณฑ์เด็ก กรุงเทพมหานคร นับเป็นพิพิธภัณฑ์เด็กแห่งแรกของประเทศไทย และในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จัดตั้งขึ้นตามพระราชปรารภ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงปรารถนา ให้เด็กไทยได้รับโอกาสในการเรียนรู้อันกว้างขวาง ซึ่งคณะผู้บริหาร กรุงเทพมหานคร ในสมัยของ ดร. พิจิตต รัตตกุล ได้สนองพระราชปรารภ โดยจัดพื้นที่ส่วนหนึ่ง ของสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จำนวน 5 ไร่ ที่มูลนิธิสวนสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ มอบให้เป็นสถานที่ก่อสร้าง อาคารพิพิธภัณฑ์เด็ก สำนักสวัสดิการสังคม กรุงเทพมหานคร ได้เริ่มก่อสร้าง พิพิธภัณฑ์เด็ก ขึ้นเมื่อ ต้นปี 2543 และแล้วเสร็จ สมบูรณ์ในกลางปี 2544 ในสมัยของนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครประกอบด้วยอาคารจัดแสดงนิทรรศการ 3 หลัง พร้อมห้องประชุม และพื้นที่บริการส่วนต่างๆ ในอาคาร รวมพื้น ที่กว่า 7,000 ตารางเมตร กับพื้นที่ลานกว้าง นอกอาคาร ซึ่งจัดเป็นส่วน กิจกรรม การเรียนรู้ และสันทนาการ

มีพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร กรุงเทพมหานคร ได้มอบพิพิธภัณฑ์เด็กฯ ให้อยู่ในความ ดูแลรับ ผิดชอบ ของมูลนิธิพิพิธภัณฑ์เด็ก กรุงทพมหานคร เพื่อจัดให้มีการบริการ การเรียนรู้ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่

พอเด็กจริงพาเด็กโข่งอย่างมะลิเข้าไป ก็พบว่านี่ไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์ธรรมดาเสียค่าบำรุงสถานที่เดินเข้าไปแล้วทุกคนจะได้ลายแทงแห่งการเรียนรู้คนละ 1 แผ่น โดยลายแทงนี้จะนำพาให้ทุกคนเข้าสู่ดินแดนแห่งการเรียนรู้แบบสนุกคิดค้น Discovery Learning Process หรือ DLP เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ โดยพัฒนาทักษะ 7 ส ประกอบด้วย

1. ส   -  สงสัย
2. ส   -  สังเกต
3. ส   -  สัมผัส
4. ส   -  สำรวจ
5. ส   -  สืบค้น
6. ส   -  สั่งสม
7. ส   -  สรุปผล

แค่เริ่มต้นทุกคนคงคิดเหมือนมะลิว่า นี่ไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์ธรรมดาๆ  

จากอาคารแรกชั้นล่าง( ชั้น 1 ) เป็นการผจญภัยในแดนวิทย์ฯ สัมผัส การเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของเรา เริ่มตั้งแต่ห้องกำเนิดชีวิต ที่จำลองตัวอสุจิเลเซอร์วิ่งเข้าสู่ไข่ของแม่ จากนั้นมีผังแสดงการเติบโตของเด็กรวมทั้งมีการจำลองที่ท้องของแม่ ให้เด็กเข้าไปทดลองนั่ง ให้เด็กได้เรียนรู้ว่าเมื่อตอนอยู่ในท้องของแม่จะต้องนั่งขดตัวอย่างไร จะลองแม้กระทั้งอุณหภูมิที่รู้สึกอบอุ่นเมื่อเข้าไปนั่งเชียวค่ะ(มะลิไม่ได้ลองนั่งเองหรอกค่ะ กลัวว่าเดี๋ยวเข้าไปแล้วเจ้าหน้าที่จะเดินมาสะกิดว่า คุณป้าต้องรอข้างนอกนะคะ ให้น้องลองนั่งเท่านั้น)

ออกจากห้องมาจะพบกระบวนการทำงานของร่างกาย แยกย่อยเป็นส่วนต่างๆ เช่น กระบวนการย่อยอาหาร แสดงให้เห็นตั้งแต่เมื่อเรากินอาหารเข้าไป ผ่านลำคอ หลอดอาหารเรื่อยลงถึงกระเพาะ ทำการย่อย จากนั้นส่งต่อให้ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ จนจบลงที่เข้าห้องน้ำและถ่ายค่ะ อันนี้เป็นตัวอย่างค่ะ เพราะนอกจากระบวนการย่อยอาหารแล้วนั้นยังมีส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยค่ะ มีแม้กระทั่งโครงกระดูกแบบแยกส่วนด้วยค่ะ แค่ฟังอาจจะนึกภาพไม่ออกต้องลองมาค่ะ แล้วจะรู้ว่าที่มะลิเล่าให้ฟังไม่ได้เกินจริงเลยค่ะ

บริเวณชั้นล่างนี้ยังมีส่วนวิทยาศาสตร์ ให้ทดลองเล่น “ท่อลมส่งจดหมาย” ลักษณะคล้ายๆ กับเมื่อสมัยเด็กๆ เราเคยทำกระป๋อง 2 ด้านเชื่อมด้วยเชือก แต่อันนี้เป็นท่อลมขนาดใหญ่ สมารถพูดส่งสารกันได้จากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งค่ะ และที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของส่วนนี้ เห็นจะเป็นการทดสอบความตึงของผิวน้ำ ที่จำลองออกมาเป็นรูปของฟองสบู่ขนาดใหญ่ เพราะแท่นที่ยืนตรงกลางสามารถให้เด็กเข้าไปยืนได้ 2-3 คนจากนั้นมีการดึงเชือกขึ้นทำให้เกิดฟองสบู่ขนาดยักษ์ที่ห่อหุ้มเด็กที่ยืนอยู่ตรงกลางได้ และสูงได้ถึง 150 เซนติเมตรเชียวค่ะ ความจริงมะลิก็อยากลองบ้างเหมือนกัน แต่แหมเด็กเต็มไปหมดเลยค่ะ จะเข้าไปต่อคิวเล่นเดี๋ยวจะโดนประนามว่าแย่งเด็กเล่น (ว้าแย่จัง)

เนื่องจากวันที่ไปชั้นสองมีเด็กๆ มาเข้าครอบครองอยู่เต็มชั้นค่ะ ชั้นสองเป็นชั้นที่แสดงให้เห็นถึงการจำลองบรรยากาศของชนบท เครื่องแต่งกาย ภาษาของทั้งไทยและทั่วโลก มีหูฟังให้น้องๆ สามารถฟังภาษาของแต่ล่ะถิ่นได้วย นอกจากนี้ยังมีการจำลองแบบต่างๆ ให้เด็กๆ ได้ทดลอง อาทิ ครัวจำลอง เป็นต้น

ฉะนั้นแล้วมะลิจึงขอ pass ไปชั้นสามเลยล่ะกันค่ะ ชั้นสามเป็นดินแดนของการสืบคน การทดลอง และที่มาของแสงสว่าง อาทิ "ไฟฟ้ามาจากไหน" จะพบเต้าเสียบขนาดใหญ่ และเต้ารับขนาดใหญ่เช่นกันไว้รอ หนูๆ ที่เดินผ่านไปมาแวะทดลองการเกิดไฟฟ้า เพียงแค่ดึงสายไฟ…เจ้าปลั๊กตัวใหญ่จะพาเด็กๆไปดูว่าไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ทุกวันนั้นมาจากไหน

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันสำหรับคนชอบความเร็วเห็นจะเป็นความลับของรถยนต์จาก…รถคันสวยที่นำมาผ่าให้เด็กๆ เห็นความลับที่ซ่อนอยู่ข้างใน สนุกสนานกับการขับ และเรียนรู้การทำงานของเกียร์ คลัตช์ และเพลาขับในมุม "เครื่องยนต์ผ่าขวาง" หรือจะเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานจากแรงงานของคน หรือมนุษย์นั่นเอง โดยการ ปั่น..ปั่น..ปั่นจักรยาน ข้างล่างจะส่งพลังให้กับรถไฟลอยฟ้าโบกี้ขบวนเล็กที่อยู่ข้างบนวิ่งได้ และจะได้เห็นว่าจาก "พลังงานมนุษย์" แล้วดูว่าพลังงานของเราทำอะไรได้บ้าง

สุดท้ายเรามาจบลงที่ การเป็นดี.เจ.พร้อมอุปกรณ์ระดับมืออาชีพใน "ห้องส่งรายการวิทยุ" ให้ทดลองออกอากาศในการจัดรายาการวิทยุ ตั้งแต่พยากรณ์อากาศ รายการเพลง ไปจนถึงการายงานข่าว เป็นที่ถูกอกถูกใจของคุณหนูๆ เป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ไกด์สยฐานไปไหนอีกเลย...