Dragon Land :

Culture & Believed

ความหมายของ “ความเชื่อ” ตามพจนานุกรม คือ การยอมรับว่ามีบางสิ่งอยู่จริงหรือดำรงอยู่จริง อ้างอิงประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นความเชื่อจึงแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ชาวจีนเองก็มีความเชื่อหลายหลายแบบและส่งอิทธิพลมาถึงชาวไทยด้วยเช่นกัน
ความเชื่อ ของชาวจีนส่วนใหญ่มักมาจากรูปแบบของวัฒนธรรมผสมผสานกับหลักธรรมในลัทธิ รวมไปถึงปรัชญาต่างๆ หลอมรวมกันกลายเป็นวิถีการดำรงชีวิตที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน มาดูกันว่ามีความเชื่อไหนบ้างที่เราคุ้นเคยหรือรู้จักกันบ้าง

ประเพณีการไหว้ตี่จู่เอี๊ยะ

 :: วัฒนธรรม และ ความเชื่อ เกี่ยวกับประเพณีการไหว้ ::

การไหว้ตี่จู่เอี๊ยะโดยทั่วไปมีอยู่ 2 แบบ คือ การไหว้ตี่จู่เอี๊ยะประจำวัน และการไหว้ตี่จู่เอี๊ยะตามวันพระจีน โดยเชื่อกันว่าการไหว้ตี่จู่เอี๊ยะ ซึ่งเป็นศาลที่มีเทพเจ้าที่สถิตอยู่จะช่วยปกปักษ์รักษาคนในครอบครัว และช่วยส่งเสริมทำให้ประสบความสำเร็จ ราบรื่น ร่ำรวย และเจริญรุ่งเรือง เสริมสิริมงคลในทุกๆ ด้าน
การไหว้ตี่จู่เอี๊ยะประจำวันและการไหว้ตี่จู่เอี๊ยะตามวันพระจีน มีความแตกต่างกันในเรื่องของที่ไหว้เล็กน้อย คือ การไหว้ตี่จู่เอี๊ยะประจำวันเป็นการไว้เพื่อขอให้การทำงานในวันราบรื่น ไม่มีอุปสรรค ซึ่งจะทำในทุกๆ เช้าของทุกวัน เป็นต้น ในขณะที่การไหว้ตี่จู่เอี๊ยะตามวันพระจีนหรือวันสำคัญตามปฎิทินจีนจะมีประมาณ 2 ครั้ง ต่อเดือนเท่านั้น (ไม่นับรวมการไหว้เจ้าตามเทศกาล เช่น ตรุษจีน หรือ สารทจีน เพราะใช้ของไหว้ไม่เหมือนกัน) เป็นการไหว้เพื่อขอพรให้เจริญรุ่งเรือง เสริมสิริมงคล ให้เทพเจ้าคุ้มครองดูและครอบครัว
สำหรับการไหว้ตี่จู่เอี๊ยะประจำวัน สิ่งที่ต้องเตรียมใช้ในการไหว้ ได้แก่ น้ำชาและน้ำเปล่าอย่างละ 5 ถ้วย, ส้ม 4 ผล และธูปคนละ 7 ดอก
การเตรียมน้ำชาและน้ำเปล่านั้น น้ำชาไว้ให้เจ้าที่ดื่ม ส่วนน้ำเปล่าไว้ล้างปาก จำนวนถ้วยที่เตรียมไว้จะต้องเท่ากัน โดยจำนวน 5 นั้นมาจากที่ชาวจีนเชื่อว่าตี่จู้เอี๊ยะเป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้าทั้ง 5 ธาตุ (น้ำ, ไฟ, ดิน, ทอง, ไม้) แต่บางบ้านก็จะจัดน้ำชาและน้ำเปล่าแค่ 3 ชุดเนื่องจากเชื่อว่าจะมีเทพเจ้ามาสถิตแค่ 3 ธาตุ (ไฟ, ดิน, ทอง) ส่วนอีกสองธาตุนั้น คือ ไม้และน้ำ จะไม่ได้สถิตย์อยู่ เนื่องจากศาลเจ้าที่ตี่จู่เอี๊ยะ (土地公) เป็นธาตุดิน ซึ่งดินจะพิฆาตน้ำ และไม้จะพิฆาตดินนั่นเอง


เกร็ดน่ารู้ : ปัจจุบันมีการจัดเตรียมน้ำชา 5 ถ้วย และน้ำเปล่า 2 แก้ว เนื่องจากเชื่อว่าน้ำชา 5 ถ้วยถวายเทพเจ้า ส่วนน้ำเปล่า 2 แก้วเป็นของอากงอาม่า (รูปปั้นที่ตั้งอยู่ในตี่จู่เอี๊ยะ) ซึ่งก็ไม่ผิดเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบ้านเลยค่ะ

 


ส้ม เป็นผลไม้ที่นิยมในการนำมาไหว้เนื่องจากเชื่อว่าส้มเป็นผลไม้แห่งโชคลาภและความมั่งคั่ง เนื่องจากผิวส้มมีสีเหลืองทอง จำนวน 4 ผล เพราะเลขสี่พ้องเสียงกับคำว่า ‘สี่’ (ภาษาแต้จิ๋ว เจ็ก หนอ ซา สี่) ที่แปลว่า ‘ดี’ (禧 ความสุข, ฤกษ์งามยามดี – เสียงจีนกลางอ่านว่า ‘สี่’ / คนละคำกับคำว่า ‘ซี้’ ที่แปลว่าตาย) และจะวางเรียงเป็นภูเขาทองคำที่มีฐาน 3 ผลและข้างบนอีก 1 ผลเป็นยอดเขานั่นเอง
วิธีการไหว้ คือ จัดเตรียมน้ำชา น้ำเปล่าแล้วส้มให้เรียบร้อย จุดธูป 7 ดอก เพื่อไหว้เจ้าหน้าที่ภายในบ้าน เมื่อขอพรเรียบร้อยให้ปักธูป 5 ดอกไว้ที่กระถาง ที่เหลืออีก 2 ดอก ให้นำไปปักที่ด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าประตูหลักหน้าบ้านเพื่อให้ประตูเราเป็นประตูเงินประตูทอง มีแต่เงินทองและสิ่งดีๆ ไหลมาเทมา และปกปักษ์ไม่ให้สิ่งชั่วร้ายกล้ำกลายเข้ามาได้
Credit : Photo by Angela Roma from Pexels
และในวันสำคัญต่างๆ ตามปฎิทินจีน ช่วงเช้าตรู่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน จะ “ไหว้ตี่จู่เอี๊ยะตามวันพระจีน” โดยของที่ใช้ในพิธีไหว้ มีดังนี้
– น้ำชา 5 ถ้วย หรือเรียกว่า แชงแต๊
– น้ำเปล่า 5 ถ้วย หรือ 2 แก้วใหญ่
– เนื้อ 5 ชนิด โดยมากจะเป็น หมู, เป็ด, ไก่, ตับ และ ปลา เพราะ “หมู” หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์, “เป็ด” หมายถึง ความอิ่มท้องสำราญ เพราะอาหารของเป็นคือกุ้ง, “ไก่” หมายถึง ความก้าวหน้า เพราะหงอนไก่เปรียบเสมือนหมวกขุนนาง, “ตับ” หมายถึง ความก้าวหน้าเช่นกัน เพราะ ตับ ภาษาจีนเรียกว่า กัว จะพ้องเสียงกับคำว่าขุนนาง และ “ปลา” หมายถึง การมีกินมีใช้ มาจากวลี ‘อู่ฮื้ออู่ซึ้ง’ แปลว่า มีปลาคือมีเหลือ นั่นเอง
– ขนม 5 อย่าง ต้องเป็นขนมสีแดง เช่น อั่งถ่อก้วย, ขนมถ้วยฟู, ขนมจันอับ, ขนมเข่งขนมเทียน และขนมอี้
** ขนมอี้ แต่เดิมเป็นขนมบัวลอยจีน ภายหลังใช้เม็ดสาคูมาต้มและผสมกับเฮลบลูบอยสีแดงเพื่อให้ได้ขนมสีชมพูซึ่งเป็นสีสิริมงคล ให้ความหมายว่า ‘อวยพร’ (เทพเจ้าและบรรพบุรุษอวยพรแด่ลูกหลานที่มากราบไหว้) ด้วยขนมอี้เป็นขนมที่ลื่นและกลืนง่าย ดังนั้นจึงมักแปลความหมายคำอวยพรว่าจะมีชีวิตที่ราบรื่นง่ายดายเหมือนขนมอี้นั่นเอง
– ผลไม้มงคล 5 ชนิด ได้แก่ ส้ม ออกเสียงจีนว่า “ไต้กิก” (ไต้ แปลว่า ใหญ่ / กิก แปลว่า มงคล มิ่งขวัญ ดีงาม) องุ่นเขียว แทนความอุดมสมบูรณ์ แอปเปิ้ลแดง แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง สาลี่ หมายถึง เงินทองไหลมาเทมา กล้วยหอม คือ บริวารลูกหลาน
– กระดาษไหว้ 1 ชุด ซึ่งจะประกอบด้วย กระดาษเงินกระดาษทอง (จะเป็นแบบ กอจี๊, ค้อซี หรือ กิมเต้างึ้งเต้า ก็ได้ตามละดวก)


เกร็ดน่ารู้ : กอจี๊ คือ กระดาษเงินล้วนหรือทองล้วน พับเป็นกิมจั้ว, ค้อซี คือ กระดาษสีทองขอบสีส้ม พับเป็นกิมจั้ว กิมจั้วแบบใหญ่ พับเป็นเรือ หรือพับเป็นพาน ตามที่แต่ละบ้านถนัด, กิมเต้างึ้งเต้า คือ กระดาษเงินกระดาษทองที่ขึ้นรูปเป็นเหมือนกลองทรงกระบอกสองอันติดกัน มีน้ำหนักเบา แต่ส่วนตัวคิดว่าจุดติดไฟยากเพราะไม่มีมุม

 


สำหรับวิธีการไหว้เหมือนกับการไหว้ตี่จู้เอี๊ยะประจำวัน คือให้จุดธูป 7 ดอก ทำการไหว้เจ้าที่ประจำบ้าน ปักธูป 5 ดอกไว้ที่กระถาง อีก 2 ดอก ให้นำไปปักที่ด้านซ้ายและด้านขวาของหน้าประตูทางเข้าบ้าน แต่เมื่อขอพรเสร็จ แล้วปักธูปในกระถาง ให้รอสักครู่จนธูปหมด จึงจะทำการลาของไหว้และกระดาษให้เรียบร้อย ของไหว้จะนำมาแบ่งกันทานเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนกระดาษไหว้จะเผาที่หน้าบ้าน โดยหลังจากจุดไฟ จะค่อยๆ ปล่อยให้กระดาษไหม้เองจนยุบลงไปจึงใส่เพิ่ม ไม่นิยมเขี่ยกระดาษระหว่างเผาเพื่อให้เผาได้ไวขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าจะไม่มงคลนั่นเอง
ในส่วนของกระถางธูป สำหรับไหว้ตี่จู้เอี๊ยะโดยทั่วไปเพื่อช่วยเพิ่มความเป็นสิริมงคลมักใส่ใส่ธัญพืช 5 ชนิดลงไปด้วย ได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวเหนียวแดง เมล็ดถั่วเขียว เมล็ดถั่วแดง และ เม็ดสาคู ซึ่งจะใช้ยาวไปตลอดทั้งปีและเปลี่ยนใหม่อีกทีในวันตรุษจีนครั้งถัดไป หรือ ตามความต้องการ นอกจากนี้ที่กระถางธูปยังผูกผ้าแดงหรือโบว์แดง (อั่งติ้ว) ไว้ที่กระถางอีกด้วย
ความเชื่อที่มีมาแต่โบราณเชื่อว่าสีแดงเป็นสีของความรุ่งโรจน์และสิริมงคล ดังนั้นนอกจากอั่งติ้วจะเป็นสีแดงแล้ว ตัวศาลเจ้าที่ก็ยังเป็นสีแดงด้วยเช่นกัน ซึ่งในบางครั้ง สำหรับบ้านพักอาศัย ที่ออกแบบตกแต่งภายใน เป็นสไตล์โมเดิร์นหรือสไตล์ยุโรป เมื่อวางศาลเจ้าที่สีแดงลงไปก็จะดูโดดเด่นขึ้นมาเหนืองานตกแต่ง อื่นๆ ใช่ไหมคะ?
วันนี้ Design by Bareo ขอนำเสนอ ศาลเจ้าที่ตี่จู่เอี๊ยะ สไตล์โมเดิร์น 3 สไตล์ ได้แก่ SHIN ที่โดดเด่นด้านการเสริมพลังด้านการค้าขาย, MERIDIAN ที่โดดเด่นในการเสริมพลังด้านครอบครัว ผู้ใหญ่อุปถัมภ์ค้ำชู อยู่เย็นเป็นสุข และ ANNONA ที่โดดเด่นด้านการส่งเสริมความร่ำรวย ประสบความสำเร็จและความสมปรารถนา ซึ่งจะเป็นทางเลือกศาลเจ้าที่ประจำบ้านสำหรับคนรุ่นใหม่ค่ะ

ฮวงจุ้ย

 :: วัฒนธรรม และ ความเชื่อ เกี่ยวกับสถานที่และการก่อสร้าง ::

Credit : wongtinkei .com
เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ เมื่อมีการสร้างบ้านหรือว่าอาคาร ว่าถูกหลักฮวงจุ้ยหรือไม่! ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวจีนที่ว่าถ้าปลูกบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย จะทำให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
ตามความหมายของฮวงจุ้ยนั้น หมายถึง ศาสตร์แห่งธรรมชาติ ซึ่งก็คือ ลมและน้ำ มาจากคำว่าลม (風 ฮวง) และ น้ำ (水 จุ้ย) ตามสำเนียงจีนแต้จิ๋ว หรือ “เฟิงสุ่ย” (Fengshui 風水) ตามสำเนียงจีน โดยจะใช้กำหนดทิศทางที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของแต่ละบ้าน
ในการประเมินฮวงจุ้ยต้องอาศัยหลายปัจจัย เช่น พื้นที่ โครงสร้าง ทิศของบ้าน ทิศทางลม ทิศทางแสงอาทิตย์ และการออกแบบ ประกอบกับดวงชะตาของผู้อยู่อาศัย เพราะเชื่อว่าจะช่วยเสริมให้ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรือง มีสุขภาพที่ดี และอยู่อย่างสงบสุข อีกทั้งยังเชื่อว่ามีผลต่อหน้าที่การงาน และความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย
Credit : fudousan-kanteisi
หลักฮวงจุ้ยพื้นฐานของที่อยู่อาศัย มีด้วยกัน 3 อย่าง คือ
1. สภาพแวดล้อม
หมายถึง กลไกการทำงานของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เช่น การโคจรของดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดแสงเงาและควานร้อนที่จะถูกส่งเข้ามาภายในบ้าน และจุดลมที่จะพัดผ่านเข้ามาทำให้บ้านร่มเย็น
2. สถานที่
หมายถึง ตำแหน่งของบ้านต้องสอดคล้องกับ สภาพแวดล้อม เช่น ทิศที่มีแดดมากสมควรเป็นห้องน้ำ, ตำแหน่งที่ตั้งห้องกินข้าวและห้องรับแขกควรจะมีอากาศถ่ายเท เป็นต้น
3. พลังงาน
หมายถึง ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน ซึ่งหาก งานออกแบบตกแต่งภายใน ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม เช่น สัดส่วนไม่เหมาะสม, ตำแหน่งไม่เหมาะสม, สีสันมากเกินไป อาจทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ซึ่งจะทำให้มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ไปจนถึงรู้สึกเหนื่อยล้าได้ง่ายอีกด้วย
หากที่อยู่อาศัยมีองค์ประกอบทั้ง 3 ครบครันและเหมาะสมลงตัว จะช่วยส่งเสริมสิริมงคล ทำให้มั่งคั่ง รุ่งเรือง เช่น การมีบ้านตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่ดีมีทั้งแดด ลม ฝน พัดผ่าน จะทำให้ทำการเกษตรได้ดี ผู้อาศัยมีสุขภาพดี ร่าเริง เป็นต้น
นอกจากนี้พื้นฐานของฮวงจุ้ยยังเปรียบได้กับธาตุทั้งห้า ได้แก่ น้ำ, ไฟ, ดิน, ทอง และ ไม้ โดยเชื่อกันว่าการเลือกใช้สิ่งของหรือจัดวางของตามธาตุ หรือ ส่งเสริมธาตุของเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัย จะทำให้บ้านมีพลังงานที่มากขึ้น เช่น หากเจ้าของเป็นธาตุดิน ควรมีน้ำเข้ามาในบ้านทำให้ดินอ่อนลง จะนิยมตกแต่งบ้านด้านบ่อน้ำหรือน้ำพุ เป็นต้น
Credit : Marquise Kamanke on Unsplash
อย่างไรก็ตามแม้ฮวงจุ้ยจะเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยพื้นฐานของการศึกษา แต่ก็ยังมีฮวงจุ้ยหรือความเชื่อในเรื่องของที่พักอาศัยที่เราสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งซินแส เช่น
ห้ามปลูกบ้านหรือทำห้องนอนตรงทาง 3 แพร่ง
เพราะบ้านที่มุมสามแพร่งไม่ดีเพราะเป็นศรพิฆาต ยกเว้นจะมีชะตาแข็งถึงจะดี เชื่อกันว่าทางสามแพร่งเป็นทางผีผ่าน เป็นตำแหน่งที่ไม่ดี จะทำให้พบเจอแต่ความหายนะ ทำมาค้าขายไม่ขึ้น ตามหลักฮวงจุ้ยนั้นจึงไม่แนะนำให้ปลูกบ้านบริเวณ 3 แยก หรือสร้างห้องนอนไว้ตรงกับบันไดทางขึ้น เป็นต้น
ห้ามหันหัวเตียงติดผนังห้องน้ำ
เนื่องจากภายในห้องน้ำมีสิ่งที่ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เช่น อ่างล้างหน้า สุขภัณฑ์หนัก เมื่อมีคนใช้งานจะทำให้ส่งเสียงรบกวนเวลานอน ที่สำคัญชักโครกจะดึงความชั่วร้ายเข้ามาและส่งผลต่อสุขภาพได้
ทั้งนี้ หากใครอยากเจาะลึกเรื่องฮวงจุ้ยที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม เพิ่มเติม มีตึกชื่อดัง ไหนบ้างที่ปลูกตามหลังฮวงจุ้ย ขอเชิญให้ลองเข้าไปอ่าเพิ่มเติมได้ในเรื่อง “ฮวงจุ้ยกับสถาปัตยกรรม” บนเว็บไซต์ บาริโอ ได้เลยค่ะ

โหงวเฮ้ง

 :: วัฒนธรรม และ ความเชื่อ เกี่ยวกับลักษณะของแต่ละบุคคล ::

Credit : kazuend on Unsplash
ฮวงจุ้ยเป็นหลักความเชื่อเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับแต่ละบุคคลนั้นจะเรียกว่า “โหงวเฮ้ง” ซึ่งจะเป็นศาสตร์ที่ดูลักษณะภายนอก บุคลิกและท่าทางของแต่ละบุคคล โดยหลักๆ จะพิจารณาจากใบหน้า ท่าทาง การเคลื่อนไหว และพลังงานของแต่ละคนที่ส่งออกมาให้คนอื่นสัมผัสได้
คนจีนเชื่อกันว่าแต่ละคนเกิดมาพร้อมกับโหงวเฮ้งเฉพาะตัว โดยโหงวเฮ้งที่ดี จะช่วยส่งเสริมโชคและดวงชะตา ส่วนโหงวเฮ้งที่ไม่ดี อาจนำมาเรื่องร้ายมาแต่ก็สามารถแก้ไขได้ตามเคล็ดเช่นกัน
โหวงเฮ้งที่ดี ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นสวยหล่อ แต่หมายความถึงภาพรวมของบุคคลดูดี มีเสน่ห์ น่าเชื่อถือ และมีบรรยากาศที่ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดทัศนคติในเชิงบวก ฉะนั้นศาสตร์ของโหงวเฮ้งจึงถูกนำไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น การคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน การเลือกหุ้นส่วน หรือการคบเพื่อนฝูง
การคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
หลายองค์กรใช้ศาสตร์โหงวเฮ้งในการคัดเลือกคนเข้าทำงาน เพื่อเลือกคนให้เหมาะสมและตรงกับงาน โดยใช้โหงวเฮ้งจากใบหน้าเพื่อพยากรณ์ เช่น ตำแหน่งที่ต้องพบปะกับลูกค้า อย่างฝ่ายขายจะต้องดูน่าเชื่อถือและให้ความรู้สึกเป็นมิตร หรือ ตำแหน่งที่เป็นหัวใจของบริษัท อย่างฝ่ายบัญชีก็จะต้องมีลักษณะที่ดูซื่อสัตย์ ไม่วอกแวก และน่าเกรงขาม เป็นต้น
การเลือกหุ้นส่วน การทำธุรกิจ
บางครั้งการดูโหงวเฮ้งเพื่อลดความเสี่ยงในการทุจริต ระมัดระวังตัวจากคนไม่ดีก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการทำธุรกิจเช่นกัน เนื่องจากการทำธุรกิจนั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว เช่น ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน ต้องประสานงานกับผู้รับเหมาภายนอก ไปจนถึงบริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านต่างๆ การเลือกคู่ค้าที่น่าเชื่อถือจะทำให้เราสามารถวางใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะคงไม่มีใครอยากร่วมงานกับคนที่ดูน่าสงสัยหรือให้ความรู้สึกไม่ดี ไม่ถูกต้องบางอย่างหรอก จริงไหมคะ?
การคบเพื่อนฝูง
การเลือกคบเพื่อนควรจะดูจากนิสัยใจคอที่เข้ากันได้เป็นหลัก ส่วนการดูโหงวเฮ้งจะเป็นเพียงปัจจัยเสริมที่ช่วยทำให้เราสามารถคาดเดาลักษณะนิสัยของเพื่อนแต่ละคนได้คร่าวๆ เช่น บางคนอาจมีลักษณะที่ดูดุดัน ไม่เป็นมิตร เมื่อได้รู้จักกันจริงๆ เขาอาจจะเป็นคนที่ไม่สนิทกับใครง่ายๆ เลยไม่ยิ้มทำให้ดูไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนตลกกับเพื่อนสนิทก็ได้ค่ะ
นอกจากนี้การศึกษาโหงวเฮ้งยังสามารถทำให้ปรับนิสัยใจคอ และทัศนคติได้ สิ่งไหนไม่ดีก็ปรับแก้ไข ส่วนสิ่งไหนดีก็รักษาและพัฒนาให้ดีขึ้น
Credit : Jose Ibarra on Unsplash
หลักการดูโหงวเฮ้งจะนิยมดูในแต่ละส่วน ดังนี้
ดวงตา
ตามหลักโหงวเฮ้งการมีตาชั้นเดียว (ไม่มีเหลาเต๊ง) จะทำให้ใบหน้าดูเศร้าหมอง ไม่สดใส ในขณะที่การมีตา 2 ชั้น (มีเหลาเต๊ง) ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ มีความสุข มุ่งมั่น และมีร่าเริงมากกว่า
หู
หูเองก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถสังเกตุได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่นิยมใช้ดูโหงวเฮ้งกับคนที่เพิ่งพบกันใหม่ โดยสามารถสังเกตุได้โดยคร่าว เช่น มีติ่งหูยาว จะเป็นคนดีมีศีลธรรมและมีวาสนา, โคนหูอยู่ระดับตาและปีกบนหูอยู่ระดับคิ้ว เป็นลูกผู้ดี มีคนนับหน้าถือตา หรือว่าหากหูกลม จะมีวาสนาโชคลาภ เป็นต้น
จมูก
หากเป็นผู้ใหญ่จะชอบมองหน้าผากและจมูกเพื่อดูโหงวเฮ้งของแต่ละคน ซึ่งมักจะได้ยินคำพูดอย่างเช่น “จมูกใหญ่นี่ดีนะ เป็นคนมีวาสนา จะมีกินมีใช้ มีคนช่วยเหลืออุปถัมป์ตลอด” หรือว่าหากจมูกเชิดรั้น ก็จะดูดื้อรั้นเย่อหยิ่ง ไม่ค่อยฟังคำสอนของผู้ใหญ่ เป็นต้น
หน้าผาก
สำหรับใครที่มีปัญหาหน้าผากกว้าง อยากให้ทราบไว้เลยค่ะว่าหน้าผากกว้างนี่ล่ะเป็นลักษณะของคนฉลาดหลักแหลมที่สามารถเรียนรู้ได้ไวซึ่งเป็นลักษณะของบัณฑิต ส่วนคนที่มีหน้าผากแคบจะเป็นคนคิดมาก ชอบเก็บปัญหาไว้กับตัว ทำให้อาจดูมีพลังงานด้านลบที่ทำให้คนรู้สึกได้ หรือหากมีหน้าผากโค้งสวยก็จะดูน่าเชื่อถือ เปิดเผยและจริงใจเป็นต้น
สำหรับลูกหลานชาวเชื้อสายจีนบางบ้านจะนิยมทำทรงผมเปิดหน้าผาก เพราะเชื่อว่าการเปิดหน้าผากจะเป็นการรับทรัพย์นั่นเอง

วรยุทธกำลังภายใน

 :: วัฒนธรรม และ ความเชื่อ เกี่ยวกับพลังที่ซ่อนอยู่ภายในแต่ละบุคคล ::

Credit : Thao Le Hoang on Unsplash
หากใครที่ชมซีรีส์ย้อนยุคของจีนบ่อยๆ คงเคยได้เห็นการฝึกวรยุทธกำลังภายในผ่านตามาบ้าง ซึ่งเป็นความเชื่อมาตั้งแต่ครั้งโบราณนานมาแล้ว ในหนังจีนอาจเห็นว่าผู้มีกำลังภายในจะสามารถซัดลมปราณ หรือใช้วิทยายุทธจากคัมภีร์ต่างๆ ควบคุมให้กระบี่ลอยบ้าง เรียกสายฟ้าบ้าง ใช้ใบหลิวเป็นใบมีดบ้าง… แม้จะฟังดูแฟนตาซีแต่ชาวจีนก็เชื่อว่าการรวมรวมพลังและปล่อยลมปราณออกมานั้นสามารถทำได้จริง ซึ่งจะไม่สามารถมองเห็นได้แต่สามารถรู้สึกได้
ปัจจุบันแท้จริงแล้วการฝึกวรยุทธกำลังภายใน เป็นการฝึกกำหนดลมหายใจ มีสติทุกการเคลื่อนไหว และการรู้สึกถึงทุกอวัยวะของร่างกายทำให้สามารถขยับร่างกายได้อย่างอิสระและคล่องแคล่วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีการฝึกความแข็งแรงอดทนของร่างกาย รวมไปถึงฝึกสมาธิให้สามารถคงไว้ซึ่งสติและการตัดสินใจอย่างรอบคอบในเวลาคับขัน โดยส่วนที่สามารถฝึกฝนได้จะเรียกว่า ‘3 สมบัติ’ ซึ่งประกอบด้วย
กายสำคัญ หมายถึง ร่างกายหยาบของเรา
กระแสชีวิต หรือ ลมปราณ หมายถึง พลังของแต่ละบุคคลที่ทำให้เรารู้สึกกระฉับกระเฉง มีพลัง หรือว่า เหนื่อยล้าไม่มีแรงในแต่ละส่วนของร่างกาย
จิตวิญญาณ หมายถึง จิตใจของแต่ละบุคคล การมีจิตใจแจ่มใสจะช่วยให้สามารถฝึกฝนและทำสิ่งต่างๆ ให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว โดยความเชื่อของลัทธิเต๋าเชื่อว่าการมีจิตใจที่กล้าแกร่ง จะสามารถทำในสิ่งที่พิเศษ หรือเหนือธรรมชาติได้
Credit : qigongthai
วิธีการฝึกกำลังภายใน จะเป็นการประสานภายนอกและภายในให้ไปในทิศทางเดียวกัน หมายถึงทั้งร่างกายและลมหายใจจะต้องสอดประสาน หายใจเข้าออกได้ถูกจังหวะเพื่อส่งเสริมพลังของการเคลื่อนไหวได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกำลังภายในไม่จำเป็นต้องไปฝึกฝนไกลถึงวัดเส้าหลิน แต่การรำไทเก็ก การฝึกด้วยท่านั่งม้า ไปจนถึงการทำสมาธิอยู่เป็นประจำก็เป็นการฝึกกำลังภายในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
ปัจจุบันการฝึกกำลังภายในสามารถทำได้ที่บ้าน ท่านั่งม้าเป็นหนึ่งในการฝึกที่เรียบง่ายทว่ายากที่จะปฏิบัติมากที่สุด และยังเป็นท่าพื้นฐานของชาวยุทธที่ไปฝึกบนวัดเส้าหลินอีกด้วย โดยจะเริ่มจากการทำท่านั่งม้าเป็นประจำทุกวัน โดยเพิ่มระยะเวลาไปเรื่อยๆ จาก 1 นาที, 2 นาที, 5 นาที, 15 นาที, 30 นาที, 45 นาที ไปจนถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งนอกจากจะฝึกกความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วยังฝึกความอดทนและสมาธิได้ดี ทำให้สามารถฝึกฝนในเคล็ดวิชาอื่นๆ ต่อไปได้
Credit : Le Minh Phuong on Unsplash
นอกจากนี้การฝึกฝนโดยไม่เน้นการฝึกร่างกาย ก็สามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. การควบคุมลมหายใจ
การควบคุมลมหายใจนั้น จะต้องสูดลมหายใจเข้าให้ลึก และหายใจออกให้หมดเพื่อรับออกซิเจนเข้าร่างกายและเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายให้มากที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ออกซิเจนสามารถไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้การหายใจเข้าออกเป็นจังหวะยาวและช้ายังช่วยควบคุมให้จิตใจมั่นคง ไม่หงุดหงิดง่ายอีกด้วย
2. การปล่อยวางจิตใจให้ผ่อนคลาย
ในโลกที่วุ่นวายอย่างทุกวันนี้ ความเครียดเป็นสิ่งที่สามารถก่อขึ้นในใจได้อย่างง่ายดายและหายไปได้ยาก ดังนั้นหนึ่งในวิธีการฝึกร่างกายและจิตใจให้ผ่องใส คือการปล่อยวาง อย่าให้ความเครียดมารุมเร้าจิตใจเราจนเหนื่อยล้า สามารถแยกแยะเรื่องที่เครียดออกจากเรื่องอื่นๆ ในชีวิตได้อย่างมีสติ ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
3. การฝึกรับรู้การเคลื่อนไหวของธรรมชาติรอบกาย
เมื่อเรามีจิตใจที่นิ่งสงบและผ่อนคลาย ให้หลับตาลงและใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆ นอกจากสายตาเพื่อรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา เช่น หากเราฝึกภายนอกอาจได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกกระพือปีก กลิ่นของแดด และหากฝึกภายในอาจได้ยินเสียงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงาน ไปจนถึงเสียงลมที่พัดเข้ามาเขย่าประตูหน้าต่างเบาๆ ซึ่งในทีแรกเราอาจรับรู้เสียงและกลิ่นต่างๆ เหล่านี้ได้ในวงแคบ แต่เมื่อฝึกฝนไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถขยายวงของการรับรู้ได้กว้างขึ้น
4. การรู้ขอบเขตของร่ายกายตนเอง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการทำทุกอย่างคือ ‘ความพอดี’ ซึ่งแต่ละบุคคลนั้นจะมีความพอดีไม่เท่ากัน และการค้นหาความพอดีของตนเองเพื่อยับยั้งไม่ให้เราทำอะไรเกินตัวเองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ วรยุทธ์กำลังภายในนั้นสามารถฝึกได้หลายส่วน สำหรับคนที่แขนแข็งแรงก็สามารถเน้นฝึกท่าที่ใช้แขนเป็นหลัก หากร่างกายมีสมดุลดีก็สามารถฝึกใช้ท่าที่เน้นขาเป็นหลัก ไปจนถึงหากเราเป็นคนตัวเล็กมีแรงน้อย อาจเน้นฝึกร่างกายให้คล่องแคล่วว่องไว แทนที่จะเน้นการใช้พละกำลังเป็นต้น
5. การมีสติและสมาธิ
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฝึกก็คือการมีสมาธิกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เพราะการมีสมาธิความตั้งใจจะทำให้เกิดผลลัพธ์การฝึกที่ดีกว่าการฝึกที่มีปัจจัยภายนอกมารบกวนทำให้วอกแวกตลอดเวลา เช่นเดียวกันตลอดเวลาที่ฝึกจะต้องมีสติรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อรู้ขอบเขตและความต้องการของตนเองก็จะสามารถเฟ้นหาคัมภีร์ตำราต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราต้องการเพื่อที่จะสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้นั่นเอง
และทั้งหมดนี้ก็เป็นความเชื่อของชาวจีนซึ่งมีมาอย่างยาวนาน บางอย่างเราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างไรก็แล้วแต่ขึ้นชื่อว่าความเชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะคะ
สามารถติดตามผลงานต่าง ๆ ของทาง Bareo ได้ที่ช่องทางเว็บไซต์ของ Bareo หรือทาง Facebook : Design by Bareo ที่จะคอยอัพเดทข่าวสาร งานดีไซน์ และผลงานการออกแบบตกแต่งภายในมากมาย ให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้ และความสนุกตลอดทั้งปี
หรือหากสนใจจะออกแบบตกแต่งภายในกับทาง Bareo ทางเราก็มีบริการออกแบบภายในครบวงจร โดยสามารถอ่านรายละเอียดการให้บริการของเราได้ที่นี่ คลิ๊ก
ข้อมูลบางส่วนจาก
katrinaleechambers .com
tomorroom .com
หนังสือ “เกี๊ย ซุง ฮวด ไช้ ลูกหลานกตัญญูโชคดี”
โดยคุณจิตรา ก่อนันทเกียรติ

CONTENT RELATED

NEW CONTENT

PORTFOLIO