editor talk
     
 

 

Huang Shan ตอนที่ 3 : สุดยอดแห่งภูผา “หวงซาน”

          และแล้วเช้าวันต่อมา พวกเราทั้งห้าก็ได้ออกเดินทางด้วยเท้าจากโรงแรมเป่ยไห่เพื่อตระเวณชมทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่ของหวงซาน โดยตั้งเป้าที่จะเดินรอบใหญ่ คือออกจากเป่ยไห่มุ่งหน้าไปทางเนินกวงเม้งเต้ง หรือเนินสว่างโชติช่วง (แปลมาจากเรื่อง “ดาบมังกรหยก” ของกิมย้ง ซึ่งแปลเป็นไทยโดย “น.นพรัตน์”) ซึ่งเนินเขานี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในเรื่อง โดยทางเดินของเราจะผ่านโรงแรมซีไห่และจุดที่ตั้งของหินบินมา (เฟยหลายสือ) จากนั้น เราจะวกกลับลงมาอีกทางหนึ่งเพื่อไปชมสนโบราณรับแขก และผ่านสนเสือดำ เพื่อวนกลับมายังโรงแรมที่พัก รวมระยะทางก็หลายกิโลเมตรอยู่

 

          ว่าแล้วพวกเราก็ได้ออกเดินทางอย่างร่าเริงผ่านที่ตั้งของตุ๊กตาหิมะที่ผมและภรรยาผ่านมาเมื่อคืน และแวะขึ้นไปชมต้นสนโบราณต่างๆ ที่ผ่านมาเมื่อวาน พอเห็นหิมะเท่านั้น พวกเราก็พร้อมใจกันเขียนชื่อลงบนหิมะและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะเดินทางผ่านป่าสนไปทางโรงแรมซีไห่ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำบนภูเขาสวยงามมาก

 

          ระหว่างการเดินทางมาซีไห่ พวกเราใช้เวลาพอสมควร ถือเป็นการเดินชมนกชมไม้ที่เสียเวลามากแต่ก็มีความสุขมากด้วยเช่นกัน จากซีไห่พวกเราก็ไปถึงจุดแวะพักใหญ่ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาแวะพักบ้างประปรายเพราะยังเป็นเวลาเช้าอยู่ พวกเราจึงมุ่งหน้าเดินขึ้นเขาที่ลาดชันไปทาง “หินบินมา” ซึ่งเป็นทางที่ยาวและชันมาก เล่นเอาลูกๆ งอแงกันใหญ่ เลยต้องทั้งขู่ทั้งปลอบกว่าจะเดินหน้าไปได้

 

 

 
   
 

 


          ใช้เวลาพักใหญ่กว่าพวกเราจะเดินทางไปถึงจุดชมวิว “หินบินมา” หรือ “เฟยหลายสือ” ซึ่งมีทางเดินต่อไปยังเนินกวงเม้งเต้ง แต่ดูเหมือนทุกคนจะหมดแรงและถอดใจแล้ว เลยสมัครใจกันนั่งชม “หินบินมา” กันอยู่นานสองนาน แล้วก็ขอตัวเดินกลับกันดีกว่า อันที่จริงพอกลับมาแล้ว ผมยังรู้สึกเสียดายและเสียใจอยู่เลยที่ไม่ยอมไปให้สุดทาง (นี่กะว่าปีนี้จะไปอีกนะเนี่ย...อิอิ)

 

          จากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางกลับ ซึ่งสวนทางกับคนงานที่แบกหินไปทำงานก่อสร้าง ลองนึกดูนะครับว่าพวกเราเดินกันแบบง่ายๆ ไม่แบกของมาก มีแค่กล้องถ่ายรูปยังเกือบแย่ แต่คนงานเหล่านั้นใส่เสื้อยืดหนาๆ เพียงชั้นเดียวและแบกหินแบบหาบเร่คนละสองก้อน (หน้าก้อน หลังก้อน) เดินจากสถานีข้างล่างจนถึงมาทำทางเดินอย่างดีและแข็งแรงให้พวกนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราได้เดินกัน ซึ่งแต่เดิมทางเดินเหล่านี้เป็นดินผสมหินและทางลาดชัน ก่อนที่ทางรัฐบาลจีนจะลงทุนทำบันไดหินที่แข็งแรงมั่นคง และจังหวะก้าวก็ไม่สูงชันจนเกินไป ขนาดที่คนแก่ก็สามารถเดินขึ้นลงได้ ก็คงต้องกล่าวคำว่า “นับถือ นับถือ” ในความแข็งแรงและอดทนของคนงานที่ไม่เคยย่อท้อเลยจริงๆ

 

          เมื่อพวกเรากลับมาถึงจุดแวะพักใหญ่ ก็ได้เวลาบ่ายพอดี เราจึงแวะพักทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งก็หนีไม่พ้นเป็น “บะหมี่กระป๋อง” ซึ่งในระหว่างรอบะหมี่ ผมก็ถือโอกาสซื้อน่องไก่ที่แพ็คในถุงพลาสติกแบบสูญญากาศมาทานเล่น เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต

 

 

 
 

 
 

 

 

          น่องไก่ที่ซื้อมานี้ เมื่อแกะจากถุงแล้วจะดูเหมือนน่องไก่พลาสติกมาก เพราะเป็นน่องไก่ในซอสและแพ็คลงซองแบบสูญญากาศ เมื่ออยู่ในอากาศที่เย็น น่องไก่จึงถูกเคลือบด้วยซอสซึ่งเย็นจนแข็งเป็นวุ้นเคลือบไปทั้งชิ้น แต่รสชาดก็ไม่เลวนัก และราคาไม่แพง ดังนั้นหากใครมีโอกาสไปเที่ยวหวงซานและไม่อยากเสียค่าอาหารแพงๆ ละก้อ ลองน่องไก่พลาสติกดูนะครับ อาจจะติดใจ...

 

          เมื่ออิ่มกันอย่างมีความสุขแล้ว พวกเราก็ถือโอกาสเข้าห้องน้ำที่จุดแวะพัก อันนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่ยังกลัวห้องน้ำเมืองจีน แต่ที่หวงซานนี่ รับรองได้เลยครับ จุดไหนก็จุดนั้น สะอาดมากทีเดียว หากจะเริ่มเที่ยวเมืองจีน ก็ขอให้ลองมาเที่ยวที่หวงซานดูก่อนก็ได้ครับ เพราะห้องน้ำที่นี่ได้มาตรฐาน เหมือนเข้าในห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว

 

          หลังจากนั้น พวกเราก็ได้วางแผนต่อไป โดยถือโอกาสปีนขึ้นเขาไปทางสถานี “เมฆแดง” หรือ “Red Cloud station” บ้าง มีป้ายบอกทางว่าประมาณ 2 กิโลเมตร พวกเราเลยรีบเร่งขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อไปยังจุดชมวิว ซึ่งระหว่างทางก็ได้พบเห็นทิวทัศน์ที่งดงามตระการตามากมาย เมื่อขึ้นไปจนถึงทางแยกเข้าสถานีกระเช้า พวกเราก็แยกเดินไปบนยอดเขา และอีกเช่นเคย เมื่อเห็นยอดเขาอยู่สูงลิบๆ พวกเด็กๆ ก็ออกอาการงอแง ไม่ยอมเดินอีกเช่นเคย ต้องเดือดร้อน Hana ที่ต้องคอยฉุดกระชากลากกันไป จนถึงยอดเขาในที่สุด

 

 

 
 

 
 

 


          บนยอดเขานั้นเอง ที่ผมรู้สึกตัวว่าเกิดปัญหาขึ้น เพราะมีอาการตะคริวกินที่น่องขวา เลยเดินไม่ถนัด จนต้องนั่งพักอยู่บนยอดเขา ปล่อยให้เด็กๆ ได้สนุกสนานกัน แถมยังโดนเยาะเย้ยจากลูกชายตัวดี ที่เดินตัวปลิวปีนขึ้นไปบนจุดชมวิวถัดไปอีกด้วย

 

          พออาการเริ่มทุเลา ผมก็ค่อยๆ ตะเกียกตะกายเดินปีนไปยังจุดชมวิวข้างๆ บ้าง โดยบนจุดชมวิวนั้น สามารถมองเห็น “ยอดเขาเก้ามังกร” หรือ “Nine Dragon Peak” และเห็นสถานีกระเช้า “เมฆแดง” หรือ “Red Cloud Station” ซึ่งสวยงามมาก รวมทั้ง “ภูผาแห่งทะเลตะวันตก” หรือ “Grand Canyon of the West Sea” อีกด้วย

 

          แม้ว่าจะสวย แต่ตอนนั้น รู้สึกไม่ดีเลย ถ่ายรูปก็ไม่ได้อารมณ์ ที่สำคัญพอเริ่มจะลงเขา อาการตะคริวก็กลับมาเยือนอีก คราวนี้เป็นที่น่องซ้ายบ้าง เลยเกือบต้องคลานลงมา ผมจึงตัดสินใจให้ Hana พาลูกๆ ลงจากเขามาก่อน เพราะใกล้สี่โมงเย็นแล้ว บนเขานั้น พระอาทิตย์จะตกเร็วมาก พอเลยห้าโมงเย็นไปก็จะมืดแล้ว ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย จึงแยกออกเป็นสองกลุ่ม ส่วนผมก็ได้อาศัยภรรยาค่อยๆ นวดน่องซ้ายที ขวาที (เพราะมีอาการสลับกันไป เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย เดี๋ยวก็ซ้าย เดี๋ยวก็ขวา) โดยใช้การสื่อสารกันผ่านทางวิทยุ Walkie Talkie ขนาดเล็กที่พกติดตัวกันไปทุกคน

 

 
   
 

 

          เจ้า Walkie Talkie นี่มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะเวลาที่เราไปเที่ยวกันไกล เพราะจะสามารถสื่อสารกันได้ตลอดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเหมือนโทรศัพท์มือถือ เห็นตัวเล็กๆ สามารถสื่อสารกันได้ไกลหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมลืมเจ้า Talkie ตัวโปรดไว้บนรถ Taxi ในเซี่ยงไฮ้ เลยต้องรอภรรยามาถึง (Taxi ในเซี่ยงไฮ้ รับผู้โดยสารไม่เกินสี่คน เลยต้องแยกเป็นสองคัน) แล้วใช้ Talkie ของภรรยาผมเรียกไปยัง Taxi ซึ่งทางโน้นก็ตอบกลับมา และยังนำมาคืนอีกด้วย (เสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อไว้ เพราะตรงนั้นคนชุลมุนมาก แต่ก็ต้องขอชมคนขับ Taxi มากน้ำใจรายนั้นด้วยครับ)

 

          หลังจากกระเสือกกระสนลงจากเขามาจนถึงจุดแวะพักจนได้ อาการตะคริวก็เริ่มทุเลาลง พวกเราก็เริ่มออกเดินทางกลับไปยังโรงแรมเป่ยไห่ ซึ่งเมื่อตอนเช้าพวกเราใช้เวลาเดินนานพอสมควรทีเดียว แต่ตอนขากลับกลับใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แถมตลอดทางเจ้าตัวเล็กของผมก็กลายเป็นผู้นำขบวนวิ่งนำไปตลอดทางจนถึงที่พักอีกด้วย

 

          พวกเราได้เดินทางเส้นทางตามขามาทุกประการ โดยไม่ได้อ้อมวกลงไปทางใต้อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่เมื่อถึงที่พัก ฟ้ายังไม่มืด และพวกเราก็พบว่าจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาคล้องแม่กุญแจกัน กลับตั้งอยู่หน้าโรงแรมพอดี แถมยังเป็นจุดใหญ่อีกด้วย ซึ่งตอนเช้าที่พวกเราไม่เห็น เป็นเพราะหมอกลงจัดมาก มองได้ไม่ไกลเท่ากับตอนเย็น และพวกเราพอออกจากโรงแรมก็วกไปทางซ้ายทันที เลยไม่ทันสังเกตุ

 

 
   
 

 

 

          แต่เมื่อเห็นแล้ว พวกเราก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง พวกเด็กๆ ไปวิ่งเล่นปั้นตุ๊กตาหิมะกัน ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกอย่างสนุกสนาน จนฟ้ามืดพวกเราก็ทยอยกลับเข้าโรงแรมเพื่อไปทานอาหารและซื้อของที่ระลึกเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น

 

          สำหรับวันต่อมา พวกเรามีเวลาอีกครึ่งวัน จึงตัดสินใจออกเดินทางไปถ่ายภาพอีกด้านหนึ่งของโรงแรมซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก โดยมุ่งหน้าไปทาง “Refreshing Terrace” และไปยังจุดชมวิว “ลิงมองทะเล” หรือ “A monkey gazing at the sea” พวกเราก็ได้ใช้เวลาอยู่พอสมควรก่อนที่จะกลับลงมายังที่พัก โดยในระหว่างที่อยู่บนนั้น ก็มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีมาผลัดกันขึ้นมาหลายต่อหลายกลุ่มทีเดียว

 

          เมื่อถึงเวลาเดินทางกลับ ละอองฝนก็ได้โปรยปรายลงมา แต่พวกเราก็ต้องออกเดินทางตามเวลาที่ได้นัดหมายไว้ มิฉะนั้นอาจจะพลาดโปรแกรมสำหรับท่องเที่ยวที่อื่นๆ ในตอนเย็นได้ รวมทั้งพวกเราคาดคะเนแล้ว คิดว่าฟ้าคงไม่เปิดอีกแล้ว และพวกเราเองก็ไม่สามารถเดินทางไปไหนไกลๆ ได้อีก เลยตัดสินใจกลับสถานีกระเช้า “ห่านขาว” หรือ “White Goose Station” เพื่อลงมาด้านล่าง

 

 

 
   
 

 

 

          ที่ด้านล่าง พวกเราก็ได้พบกับรถ Taxi จำนวนมาที่จอดรอนักท่องเที่ยวอยู่ พวกเราเลยเลือกเอารถคันที่ใหญ่และหน้าตาดีหน่อย เพื่อกลับเข้าเมือง Tunxi ไปยังโรงแรมเดิมที่เราได้จองไว้ เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ออกไปเที่ยวที่เมืองโบราณรอบๆ หวงซานที่มีชื่อว่า Hongchun และ Xidi ซึ่งเคยเป็น Location สำหรับการถ่ายภาพยนตร์ในเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon แล้วอย่างนี้ พวกเราจะยอมพลาดได้อย่างไรล่ะครับ...

 

          สำหรับท่านที่ต้องการอ่านย้อน “หวงซานตอนที่ 1 และ 2” สามารถกลับไปได้ที่นี่นะครับ
                    http://www.bareo-isyss.com/38/38_travel_huang-shan.html และ
                    http://www.bareo-isyss.com/39/39_travel_huangshan2.html

 

          ส่วนเดือนหน้า ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยวเมืองโบราณแสนน่ารักที่ยังมีลมหายใจ แล้วทุกท่านก็จะหายข้องใจว่าทำไมถึงเป็น Location สำหรับภาพยนตร์เรื่องดังที่สุดของชาวเอเชียได้ และสำหรับเดือนนี้ ผมขอตัวก่อนนะครับ...สวัสดีครับ

 

 

 
   
 

 

-- Isyss --

 

 

 


บริษัท บาริโอ จำกัด

50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700   Tel. 66 2881 8536-7   Fax. 66 2881 8538