นอกจากคุณวรวุฒิ ธรรมกุลางกูร กรรมการผู้จัดการของบริษัท บาริโอ จำกัด จะได้รับการยอมรับในฝีมือการออกแบบตกแต่งภายในที่ยอดเยี่ยมแล้ว คุณวรวุฒิ ยังมีงานอดิเรกที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือการถ่ายภาพ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเก็บภาพสวยๆ กลับมาฝากเพื่อนสนิท และญาติพี่น้อง เสมือนหนึ่งของที่ระลึก
จากการท่องเที่ยว และหนึ่งในผลงานที่สวยงามมากอีกชิ้นหนึ่ง คือผลงานภาพถ่ายชุด Tuscany ซึ่งได้รับเชิญจากนิตยสารให้นำผลงานไปลงใน Harper’ s Bazaar ฉบับภาษาไทย ในเดือนมิถุนายน 2555 นี้เองค่ะ โดยภาพถ่ายและเนื้อเรื่องที่ลงในนิตยสารดังกล่าว มีดังต่อไปนี้ค่ะ

ทัสคานี หรือทอสคานา (Toscana) ในภาษาอิตาเลียน ดินแดนแห่งเผ่าอิทรัสคัน (Etruscan) แหล่งอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกแห่งนี้ ดูจะมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ในฐานะแคว้นที่มีภูมิทัศน์งดงาม หากเอ่ยถึงหนังที่สามารถพาผู้ชมไปดื่มด่ำวิถีชีวิตและวิว ทิวทัศน์อันงดงามของทัสคานีได้อย่างเต็มอิ่ม Under The Tuscan Sun (2003) คงเป็นหนังที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องราวของฟรานซิส (สวมบทโดย ไดแอน เลน) นักเขียนสาวจากซานฟรานซิสโกที่เพิ่งแยกทางจากสามีมรสุมชีวิตครั้งนั้นทำให้เธอตัดสินใจบินข้านทวีปหนีไปพักร้อนที่ทัสคานี ประเทศอิตาลี ด้วยหวังว่าแสงแดดอุ่นๆ ของที่นี่ จะช่วยชุบชูชีวิตและเยียวยาจิตใจของเธอได้

ภาพดวงอาทิตย์ขณะลาลับขอบฟ้าทอแสงสี อาบไล้ทิวสนลู่ลมและท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตา คือหนึ่งในภาพแห่งความประทับใจที่ชวนให้ผู้ชม กระโจนหายเข้าไปในจอหนังอยู่ร่ำไป ทว่าภาพฝันในเรื่องดูจะธรรมดาไปเลย เมื่อเรามีโอกาสเห็นและสัมผัสทิวทัศน์ของทัสคานีแบบไม่มีจอหนัง มากั้นขวางให้รำคาญใจแม้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเลือกใช้บริการทัวร์เพื่อเก็บอาร์ซีเช็คอินตามสถานที่สำคัญของทัสคานีได้อย่างครบถ้วนในเวลาที่กำหนด ครอบครัวของเรากับเลือกเช่ารถขับเที่ยวไปเรื่อยๆ ในแคว้นอันสวยงามแห่งนี้เพราะเราเชื่อว่าวิธีเดินทางที

แตกต่างน่าจะช่วยให้เราได้ค้นพบทัสคานีในมุมมองที่ต่างจากกระแสหลักภายในระยะเวลา 10 วัน แม้GPSจะพาเราขับเจ้าบลูจากัวร์ที่เช่ามาหลงฝ่าเข้าไปในกลางตลาดหรือถนนคนเดินให้ชาวท้องถิ่น ได้ตกอกตกใจหรือขบขันบ้างเป็นครั้งคราวแต่โดยรวมนับว่าไม่ผิดหวังเพราะนี่คือการเดินทางที่เป็นอิสระต่างจากโปรแกรมทัวร์ เราขอเพลินตาเพลินใจไปกับทิวทัศน์ของทัสคานีแบบ”ตามใจฉัน” คืออยากหยุดพักชมวิวหรือถ่ายรูปที่ไหน หรืออย่างไรก็ทำได้ไม่ต้องรีบร้อนและปราศจากข้อจำกัด

เนินสูงๆต่ำๆซึ่งวางตัวเหลื่อมซ้อนกันดูจะพร้อมใจกันหยอกล้อสายตาเรา สีเขียวของไร่องุ่นถูกแซมสลับด้วยสีแดงและสีเหลืองของสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ คั่นด้วยถนนเส้นเล็กที่คดเคี้ยวไปมาบนเนินเขาน้อยใหญ่ ยิ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปและใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี หากใครมีโอกาสยืนสังเกตุการณ์อยู่ตรง ณ จุดเดิม ตลอดทั้งปีเขาคงได้ประจักษ์แก่ใจว่าปรากฏการณ์แห่งสีสี่นของธรรมชาติ คือความมหัศจรรย์ดีๆ นี่เอง อานิสงส์ของเมืองใหญ่อย่างฟรอเรนซ์ (Florence)ปิซา(Pisa)และเซียนา (Siena) อาจทำให้ชื่อของทัสคานี เป็นที่เลืองลือแต่หัวใจของแคว้นกลับอยู่ที่หมู่บ้าน และเมืองเล็กๆที่กระจายตัวกันไปตามเนินสูงต่ำอันอุดมสมบูรณ์ ในมุมหนึ่ง สภาพทางภูมิศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนยุคกลางหอคอยและป้อมปราการต่างๆ ทำให้เมืองส่วนใหญ่ในทัสคานีดูราวกับเป็นเมืองในเทพนิยาย

(เช่น การทาสีบ้านด้วยสีเหลือง การมุงหลังคากระเบื้องดินเผา เป็นต้น) แต่หากพิจารณาดูดีๆจะพบว่าเมืองแต่ละเมืองก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป อย่างเมืองซานจามิญญาโน (San Gimignano) โดดเด่นด้วยหอคอยสูงตระหง่านจำนวน 14 แห่ง ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก ในขณะที่ลุคคา (Lucca) ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในโลกที่ตัวเมืองทั้งเมืงถูกล้อมรอบด้วยกำแพงโบราณและยังเป็นเจ้าของจตุรัสรูปวงรี (Piazza dell-Anfitteatro) หาที่ชมได้ยากอีกด้วย
การขับรถแวะเทียวแวะทำความรู้จักเมืองเล็กๆ ของทัสคานีไปทีละเมืองจึงเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานปนเร้าใจอยู่ไม่น้อย

(ต้องขอบคุณกฎหมายของแคว้นนี้ที่ไม่อนุญาตให้สร้างอาคารสมัยใหมในเขตเมือง ่ชาวเมืองจึงทำได้แค่บูรณะอาคารเท่านั้นหากอาคารทรุดโทรมมาก ก็สามารถสร้างอาคารใหม่ได้แต่รูปร่างหน้าตาต้องเหมือนของเดิม) แต่เมื่อได้เดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอันซับซ้อน เรากลับรู้สึกเหมืออยู่ในสวนสนุกที่สร้างความหฤหรรษ์ได้ทุกอย่างก้าว เดินมามุมหนึ่งเราอาจเจอคาเฟ่เล็กๆ น่ารัก เดินต่อไปอีกหน่อยกลับเจอวหารหลังใหญ่สุดอลังการและแม้จะต้องหลงทางกันกี่ครั้ง ก็ยังมีร้านเจลาโตปลอบใจเราให้เดินต่อเป็นระยะๆ อาจจะพูดได้ว่าเมืองเล็กๆในทัสคานีมีลักษณะร่วมกันเฉพาะให้พอเรียกว่าเป็นลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมอยู่บ้าง

หากไปเที่ยวทัสคานีแล้วไม่ลองพักตามวิลล่าต่างๆ คงเรียกว่าาถึงทัสคานีไม่เต็มปากและเนื่องจากวิลล่าหรือบ้านพักตากอากาศของผู้มีอันจะกินของชาวทัสคันนั้นมักซ่อนตัวตามป่าสนไซเปรสและไร่องุ่นนอกเมือง การขับรถเที่ยวจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเขาถึงวิลล่าต่างๆได้ แม้อาจจะต้องจ่ายค่าที่พักเพิ่มขึ้นมากหน่อย แต่เราก็ได้ห้องสวีทที่กว้างขวางกว่าและเป็นส่วตัวมากกว่าโรงแรมที่สำคัญที่สุดคือทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยเกินใคร (รวมถึงสเต็กที่มักจะอร่อล้ำไปซะทุกวิลล่า) ในทริปนี้ วิลล่าแสนสวยทีเรารู้สึกประทับใจมากที่สุดคือซาน ฟาเบียโนมาหลายหลัง ก็ถึงบางอ้อเมือได้คุยกับเจ้าของว่าอาคารทั้งหมด ที่เห็นนั้นเป็นแค่ป้อมหลักเขตของที่นั่นเท่านั้น เพราะอณาเขตของซานฟาเบียโนนั้นแท้จริงแล้ว กินพื้นที่กว่าหมื่นเอเคอร์ซึ่งนอกจากการทำไร่องุ่น

ไว้ให้สำหรับแขกที่มาพักทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วยเช่น ไดร์ฟกอล์ฟ วาดภาพ ขี่จักรยาน ขี่ม้าชมวิวทิวทัศน์ ฯลฯด้วยทำเลที่ตั้ง เพราะความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว ที่พักแบบวิลล่าจึงกลายเป็นที่พักยอดนิยมมาก ในหมู่ชาวยุโรปอเมริกันผู้ซึ่งมองหาการพักผ่อนอย่างแท้จริงเพื่อลิ้มรส “ความหอมหวานแห่งการ ไม่ทำอะไร”(หรือในภาษาอิตาเลียนที่ว่า’dolce far nient’ อันเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตของชาวอิตาเลียน) สักอาทิตย์ สองอาทิตย์ แต่ถ้ากระเป๋าหนักหน่อย ก็อาจมาเช่าพักอยู่เป็นเดือนๆเลยก็มี

หากเปรียบกับความฝันทริปทัสคานีครั้งนี้คงเป็นฝันดี ที่เราไม่อยากจะตื่นสิบวัผ่านไป ถึงเวลาที่เราต้องเอ๋ยคำลา ลาก่อน..ทัสคานี หวังว่าเราคงได้พบกันอีกไม่ช้า

หนังสือ Herper’ s BAZAAR Thailand
ฉบับเดือน มิถุนายน 2555
คอลัมน์: Lifestyle Escape
เรียบเรียงโดย: ชิดสุภางค์ ฉายวิโรจน์
เขียนและถ่ายภาพโดย: วรวุฒิ ธรรมกุลางกูร