ช่วงนี้ รำเพยมีโอกาสได้พักผ่อนตอนเย็นมากกว่าปกติหน่อย ก็เลยได้มีโอกาสดูหนังซีรีส์เกาหลีกับคนอื่นเขาบ้าง (อย่าหาว่าเชยเลยนะคะ ก็คนมันเพิ่งจะมาติดนี่คะ) แต่พอโอกาสเปิดเข้าหน่อย รำเพยเลยตะบี้ตะบันดูกันไปทีเดียวสิบกว่าเรื่อง เล่นเอาตาแฉะ แถมนอนตื่นสาย ไปทำงานไม่ทันอีกแน่ะ...แย่จังเลย นี่ว่าจะกลับตัวกลับใจซะใหม่ ตื่นเช้าขึ้นรถมาออกกำลังกับ บอกอ Hana ที่ชอบมาเล่น Fitness บน Office คนเดียวตอนเจ็ดโมงครึ่ง โดยมีหนังซีรีส์เกาหลีเป็นแรงจูงใจ เพราะพี่แกเล่นไป ดูไป สงสัยว่าจะเพลินจริงๆ เพราะกว่าจะลงมาทำงาน ก็เกือบเก้าโมง...อิอิ แอบนินทาซะเลย....

          สำหรับหนังเกาหลีเรื่องแรก ที่รำเพยได้มีโอกาสดู ก็คงจะเป็นเรื่องสุดฮิตอย่าง “My Girl” หรือชื่อไทยว่า “รักหมดใจ ยายกะล่อน” ที่มีพระรองอย่าง “ซอจองวู” ที่หน้าตาน่ารัก แถมสวยกว่านางเอกซะอีก โดยเนื้อเรื่องจะออกแนวตลก สนุกๆ ขำๆ ไม่เน้นอะไรมากนอกจากบันเทิงลูกเดียว ต่อจากนั้นมา รำเพยก็ได้รับอานิสงส์จากเจ้าแม่หนังเกาหลีตัวจริงอย่างบอกอ Hana ที่ทะยอยส่งเรื่องใหม่ๆ มาให้รำเพยดูทุกๆ สามสี่วัน หนังซีรีส์ยาวๆ ประเภทสิบหกตอนจบ รำเพยใช้เวลาสามวัน  แต่ถ้าเป็นยี่สิบตอนจะใช้เวลาเพิ่มเป็นสี่วัน เล่นเอาแทบเพ้อเชียวคะ แล้วบางเรื่องยังไม่มีพากษ์ไทย ต้องอ่านซับไตเติลแทน เลยได้ซึมซาบทั้งวัฒนธรรมและภาษาเกาหลีเข้าไปอย่างจุใจ จนเดี๋ยวนี้แทบจะพูดเกาหลีได้แล้วนะเนี่ย...


          เรื่อง Full House หรือ “สะดุดรักที่พักใจ” ที่มีพระเอกอย่าง Rain ก็ตามมาเป็นเรื่องที่สอง เป็นเรื่องราวของพระเอกหนังที่เอาแต่ใจ แล้วจับพลัดจับผลูมาซื้อบ้านที่เป็นมรดกของนางเอก โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม เรื่องราวต่างๆ ก็เลยวุ่นๆ สนุกๆ (แต่รำเพยว่าพล็อตมันเชยๆ ยังไงก็ไม่รู้ นี่ถ้าไม่มี Rain ก็คงไม่ดูจนจบหรอกค่ะ)


          ส่วนเรื่องที่สามที่ตามเข้ามาติดๆ ก็คือ “กฎหมายรักฉบับฮาวาร์ด” ที่มีนางเอกอย่างลีซูอิน (ชื่อในหนัง) ที่สวยสุดๆ กับพระเอกคิมฮอนวู (ชื่อจริงชื่อ คิมแรวอน) ซึ่งรำเพยว่าพระเอกคนนี้ หน้าตาไม่ค่อยถูกสเปคเท่าไร แต่สงสัยจะดัง เพราะรำเพยได้ดูหนังซีรีส์ที่อีตาคนนี้เป็นพระเอกอีกสองเรื่อง คือ “รักเหมียวๆ ขอเกี่ยวหัวใจ” หรือ “Cat on the roof” กับเรื่อง “Which star are you from” (ชื่อน้ำเน่าชะมัด แต่เนื้อเรื่องสนุกพอสมควร ชวนให้ติดตามได้จนจบค่ะ)

 

 

 
   
 

"My GirL"

 
 

 

          นอกจากเรื่องที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “Let’s go to the beach”, “18-29”, “Lovers in Paris”, “Save your last dance for me”, “Spring Waltz”, “Winter Love Song”, “Summer Scent”, “My name is Kim Samsoon”, “All about Eve”, “Sassy Girl”, “To marry a millionaire” เห็นมั้ยคะ ว่ายังไม่ทันไร รำเพยก็ร่ายยาวมาสิบกว่าเรื่องแล้ว และยังมีเรื่องอื่นๆ ที่เข้าคิวรอให้ตาแฉะต่อไปอีกหลายเรื่องเลยค่ะ นี่ว่าถ้าตื่นเช้ามีหวังได้เพิ่มยอดตามบอกอไปติดๆ อย่างแน่นอน


          ความสนุกของซีรีส์เกาหลีนี่ จะว่าไปก็คงเป็นเพราะพล็อตเรื่องที่มีหลากหลาย และค่อนข้างเน้น Entertain เป็นหลัก ไม่มีคำหยาบ ไม่มีการแย่งชิงสามีชาวบ้านประเภทตบกันสนั่นจอ เอาใจแม่ค้า หรือแม้กระทั่งฉากตลกลามกมาคอยกวนใจ รำเพยเลยนั่งดูกับหลานได้สบายๆ นั่งหัวเราะ นั่งขำ เสร็จแล้วก็มานั่งเมาท์กันสนุกไปเลย ถ้าจะเรียกว่าเป็นหนังซีรีส์ของปัญญาชนก็น่าจะได้


          ซึ่งซีรีส์พวกนี้ ยังมีข้อดีที่เห็นกันชัดๆ เลยคือ หนังเกาหลีนี่ค่อนข้างจะชาตินิยมมาก ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีที่เห็นได้เด่นชัดที่ประเทศของเราน่าจะนำมาใช้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น หากมีการใช้รถ ก็จะเน้นรถเกาหลีเป็นหลัก (ยกเว้นบางเรื่อง ที่ต้องการเน้นว่าตัวเอกรวยจริงๆ ก็จะมีรถยุโรปมาบ้าง แต่ก็ไม่กี่เรื่อง) แล้วในเรื่องก็มักจะไปถ่ายทำในโลเคชั่นที่สวยสุดๆ ของเกาหลี ชวนให้คนไปเที่ยว ยิ่งทำให้คนเกาหลีรักประเทศของตนเข้าไปใหญ่ และยังทำให้คนดูชาวไทยได้เที่ยวไปกับตัวละครในเรื่องไปด้วย ถึงแม้ว่าจะมีหลายต่อหลายเรื่องที่ไปถ่ายทำในต่างประเทศ แต่สุดท้ายตัวละครก็จะเลือกกลับมาอยู่ในเกาหลี และก็จะให้ตัวเอกออกมาพูดในทำนองว่า “ไปเที่ยวมาทั่วโลกแล้ว แต่ในเกาหลีนี่สวยที่สุด” หรือ “หากเกิดชาติหน้า ขอเกิดเป็นคนเกาหลีอีก” ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครเอกในเรื่อง ก็มักจะมีหน้าตาบ่งบอกเชื้อชาติอย่างชัดเจน แทบไม่มีลูกครึ่งโผล่มา Surprise ประเภทหน้าฝรั่ง พูดไม่ชัด แต่เนื้อเรื่องพยายามระบุว่าเป็นคนเกาหลีแต่เกิด คิดแล้วก็นึกสะท้อนถึงซีรีส์ไทยของเรา ที่มีแต่ลูกครึ่ง ลูกค่อนเต็มไปหมด เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่รำเพยไม่เห็นด้วยเลย ทำให้เด็กไทยรุ่นใหม่พยายามจะทำตัวเป็น “ฝรั่ง” กันไปหมด โดยไม่เลือกว่าอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับวัฒนธรรมของชาติเรา

 

 
   
  "Full house"  
 

 

          วัฒนธรรมอีกอย่างที่รำเพยเห็นในซีรีส์เกาหลี (จากแหล่งอื่น ยังไม่มีเวลาดู เลยยังไม่กล้าฟันธงค่ะ) คือ คนเขาให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสมาก ไม่ว่าตัวเอกจะเป็นใคร แต่ถ้าเจอกับผู้อาวุโส ก็ต้องแสดงความเคารพ และถ้าโดนตีโดนว่า ก็ต้องยอมรับโดยไม่โต้เถียง (ในใจก็คิดว่า จะมีจริงหรือเปล่า หรือแค่สร้างภาพเฉยๆ นะ) แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องที่ดีๆ ในหนังซีรีส์นะคะ เพราะเรื่องที่รำเพยไม่ชอบใจก็มี เช่น ส่วนใหญ่คนเกาหลี มักจะกินไป พูดไป ดูแล้วไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไร และยังทำให้สำลักง่ายอีกด้วย ซึ่งก็มีอยู่หลายเรื่องที่ตัวเอกมักจะกินไปพูดไปแล้วสำลักจนต้องทุบอก ดูแล้วแปลกดี เหมือนไม่เคยเรียนสุขศึกษาเลยนะ หรือแม้แต่บทที่กำหนดให้นางเอก มักจะดื่มจนเมาไม่ได้สติ แล้วต้องให้พระเอกหรือพระรองพามาส่ง (ซึ่งมีเกือบจะทุกเรื่อง) คิดๆ แล้วสงสัยว่าหนุ่มเกาหลีจะเป็นสุภาพบุรุษจนโอเวอร์หรือเปล่านะ พาขี่หลังมาส่งแล้วก็คอยนั่งเฝ้านอนเฝ้า นี่ถ้าเป็นคนไทย จะเหลือมั้ยน้อ...


          แล้วยังมีเรื่องของฉากในหนัง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยพิถีพิถันเท่าไร คือดูออกว่าเป็นฉากหรือมักจะตกแต่งไม่ค่อยสวย (สงสัยจะดูผลงานของบริษัทเรามากเกินไป เลยเห็นของคนอื่นไม่ค่อยจะสวยเลย...อิอิ) ไม่ว่าจะเป็นบ้านใน Full House ที่อุตสาห์สร้างขึ้นมา แต่ก็ดูค่อนข้างหยาบ มีการเลือกสไตล์ในการตกแต่งที่ไม่ค่อยเข้ากัน ทำนองเดียวกับหัวมงกุท้ายมังกร ดูแล้วขัดตามชะมัด หรือในเรื่อง 18-29 ที่ตัวบ้านของพระเอกนางเอกเป็นสองชั้น แต่พอเข้าไปข้างในกลับมีชั้นเดียวแต่มีบันไดที่ขึ้นไปแล้วกลับกลายเป็นทางตัน เลยดู Fake ไปหน่อย


          ว่าแล้ว รำเพยยังสังเกตเห็นว่า คนเกาหลีมักจะใช้กระเบื้องเป็นพื้นในห้องนอน ซึ่งดูแล้วขัดๆ ตามประสาคนที่สนใจเรื่องตกแต่งภายใน รำเพยยังสงสัยว่า เมืองหนาวขนาดนั้น ยังมาใช้กระเบื้องเยอะๆ จะไม่เย็นเท้ามากหรือไงเนี่ย นี่ยังไม่นับในเรื่อง Winter Love Song ที่กำหนดให้นางเอกเป็นนักออกแบบตกแต่งภายใน แต่อาศัยอยู่ในบ้านที่จืดสนิท แม้แต่ในห้องนอนที่ควรจะมีอะไรบ้าง กลับไม่เห็นมีความเป็นนักออกแบบเลย (สู้ Designer ของเราก็ไม่ได้ ขนาดฉากในรายการ ยังเนรมิตให้เสร็จได้ใน 4 ชั่วโมง แถมออกมาหวานแหวว ก็ยังได้ หากสนใจลองเข้าไปที่นี่นะคะ http://www.bareo-isyss.com/31/31_desgnworld.html ) หรือในเรื่อง Which Star are you from ที่พระเอกเป็นผู้กำกับใหญ่ แต่บ้านของตัวเอง มีแค่ห้องรับแขก คือจะนั่ง จะนอน จะคุยกับนางเอก ก็ใช้แต่ห้องรับแขกนี่แหละ ไม่เห็นมีเตียงเลย บางทีเข้านอน ก็นอนที่โซฟายาว ดูแล้วก็แปลกดี  

 

 
   
  "Sorry, i love you "  
 

 

          เอาล่ะคะ นอกเรื่องกันมาพอสมควร รำเพยว่าจะพาเข้าเรื่องซีรีส์ที่รำเพยประทับใจที่สุด เป็นเรื่องที่ตอนแรกรำเพยแทบไม่อยากดูด้วยซ้ำ เพราะพระเอกไว้ผมซะฟู ดูแล้วสกปรกและขัดๆ ตา ก็เลยต้องอาศัยหลานสาวที่เปิดดู แล้วรำเพยค่อยมาแจมในตอนแรกๆ แต่พอเข้าใจเรื่องชัดเจนแล้ว กลับทำให้รำเพยลืมความสนุกของเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่ได้ดูมาทุกเรื่องเลยทีเดียว


          “Sorry, I love you” คือชื่อเรื่องนี้ค่ะ เป็นหนังรักที่มีพล็อตเรื่องที่สวยงามและลงตัวมากๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เป็นเรื่องราวของเด็กชาวเกาหลีที่ถูกแม่ทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนกลายไปเป็นอันธพาล เลยถูกยิง และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จึงตัดสินใจกลับไปตามหาแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งกลายเป็นดาราดัง แถมยังมีลูกชายที่คอยประคบประหงมอย่างดีอีกด้วย เฮ้อ...เป็นไงคะ พล็อตดูมี “อะไร” ที่น่าสนใจบ้างมั้ยคะ ขอบอกเลยว่าเป็นเรื่องราวที่จะทำให้คุณๆ ต้องเสียน้ำตาเกือบทุกตอน ยิ่งผ่านตอนที่ 4 ไปนี่ ยิ่งสนุก จากพระเอกที่รำเพยไม่ชอบหน้า กลายเป็นพระเอกในดวงใจเลยทีเดียว ว่าแล้วรำเพยก็ขอเล่ารายละเอียดให้ฟังเพิ่มเติมเลยดีกว่านะคะ แต่สำหรับคุณๆ ที่สนใจอยากจะไปหามาชม ก็อย่าเพิ่งอ่านย่อหน้าต่อไป ให้ข้ามไปอ่านในบทสรุปตอนท้ายดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะสนุกน้อยลง


           เรื่องเริ่มต้นขึ้นจาก ชาโมฮุค (So Ji-sub ซึ่งตัวจริงเป็นถึงนักว่ายน้ำระดับชาติของเกาหลีเชียวนะคะ) ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าและถูกขอไปเลี้ยงใน Australia แต่ก็หนีออกจากบ้านไปอยู่ข้างถนนจนโตเป็นหนุ่ม (เรียกได้ว่าเป็นพวกอันธพาลใน Australia แหละค่ะ) ซึ่งบังเอิญได้มาพบกับนางเอก และได้ช่วยนางเอกที่แสนซื่อและน่ารักเอาไว้ (ไม่รู้เรียกว่าช่วยหรือเปล่า เพราะดันเป็นคนพานางเอกไปขาย แล้วเกิดเปลี่ยนใจ ไปพาหนีออกมาซะงั้น) จากนั้น พระเอกของเราก็โดนหักอก เพราะแฟนของตัวเองหนีไปแต่งงานกับมาเฟีย เลยพยายามไปฉกตัวแฟนออกมา แต่ก็ไม่รอด สุดท้ายก็เจอลูกปืนเข้าไปที่หัวซะสองนัด

 


 
   
  Sorry, i love you : ชาโมฮุค  
 

 

           พระเอกของเราก็ทนทายาด ไม่ยอมตาย แต่ก็ผ่าเอากระสุนออกได้แค่นัดเดียว ส่วนอีกนัดหนึ่งฝังอยู่ในส่วนที่สำคัญและเอาออกมาไม่ได้ ทำให้เหลือเวลาใช้ชีวิตได้อีกหนึ่งปี ซึ่งพระเอกจึงได้เลือกที่จะกลับมาใช้ชีวิตในเกาหลี (เห็นมั้ยค่ะ ยังไงก็ต้องกลับเกาหลี) เพื่อมาตามหาแม่ผู้ให้กำเนิด


           แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก เพราะพระเอกไม่ใช่ลูกชายคนเดียวที่ถูกทิ้ง พระเอกของเราดันเป็นลูกแฝด และมีน้องสาวฝาแฝดอีกคนหนึ่ง (ทำนองแฝดไม่เหมือน ไข่คนละใบค่ะ) ซึ่งน้องสาวก็ประสบอุบัติเหตุตั้งแต่เด็ก เพราะพยายามหนีออกไปตามหาพี่ชายที่ถูกขอไปเลี้ยง จนทำให้สติไม่ดี แต่ก็มีลูกชายเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ มาคอยดูแลแม่ที่มีสติปัญญาเท่ากับเด็กหกขวบ และที่นี่ พระเอกได้เจอกับคุณปู่ที่เล่าให้ฟังว่า แม่ผู้ให้กำเนิดเขาทั้งสอง ไม่ใช่คนยากจน จนไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ แต่เป็นเพราะแม่ของพวกเขาเป็นดาราดาวรุ่ง ที่ไม่อาจให้ใครรับรู้ได้ว่ามีลูกที่ไม่ต้องการ เลยนำเอาพวกเขาไปทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่วันที่เกิดมา...(ฟังแล้วเศร้าชะมัด)


           เมื่อรับทราบความจริง พระเอกของเราก็เลยโกรธแม่ที่ทิ้งพวกเขาไป และยังทำให้น้องสาวของเขาประสบชะตากรรมที่เลวร้าย และเขาก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก เมื่อได้ทราบว่าแม่ของเขาเป็นดาราค้างฟ้าที่มีชื่อเสียง และยังมีนักร้องวัยรุ่นที่กำลังโด่งดังเป็นลูกชาย ซึ่งได้รับการพะเน้าพะนอเป็นอย่างดี ผิดกับเขาและน้องสาวที่ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ทำให้ ชาโมฮุคคิดที่จะแก้แค้น โดยการแย่งคนรักของน้องชายของเขามา (ซึ่งบังเอิญเป็นเพื่อนกับนางเอกซะอีก) โดยเรื่องราวทั้งหมด ทำให้พระเอกได้หลงรักนางเอก แต่นางเอกกลับไปรักน้องชายของพระเอกที่เป็นแฟนของเพื่อนรักซะอีก โอ๊ย! วุ่นวายดีแท้เลยค่ะ


 
   
     
 

 


            และเมื่อพระเอกของเราปฎิบัติการสำเร็จ คือแย่งมาเรียบวุธ ทั้งคนรักของน้องชาย และคนที่หลงรักน้องชาย (ก็คือนางเอก) เลยทำให้ตัวน้องชายพระเอกเสียใจมากจนขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ และทำให้อาการของโรคหัวใจที่อ่อนแอตั้งแต่เด็กกลับมากำเริบขึ้น แม่ของพระเอกก็เลยเสียใจมาก ในขณะที่ตัวชาโมฮุคเอง ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เช่นกัน เพราะกระสุนที่ไปกดทับระบบประสาทมากขึ้น และมีเวลาของชีวิตเหลือน้อยลงเรื่อยๆ  


           ในที่สุด พระเอกจึงคิดที่จะเสียสละหัวใจของตัวเองเพื่อให้กับน้องชาย เพื่อเป็นข้อต่อรองกับนางเอก ให้มาอยู่กับตนในช่วงวาระสุดท้าย แต่นางเอกไม่เชื่อว่าพระเอกใกล้จะตาย พระเอกของเราจึงผิดหวังและคิดจะแก้แค้นกับแม่ของตัว โดยตั้งใจจะเฉลยความจริงในวันสุดท้ายของชีวิต ที่ว่าตัวเองเป็นลูกชายคนโตที่แม่ทิ้งไป และได้บริจาคหัวใจให้กับลูกชายคนที่แม่เลี้ยงดู (เรียกว่าจะทำให้แม่เสียใจไปตลอดชีวิตที่เหลือเลยทีเดียว) แต่สุดท้ายบทก็หักมุม โดยเฉลยความจริงออกมาว่า คนที่นำเอาพระเอกและน้องฝาแฝดไปทิ้ง กลับเป็นคนสนิทของแม่ ที่ไม่ต้องการให้แม่พระเอกต้องเสียชื่อเสียงเพราะมีลูกที่ไม่ต้องการ และโกหกว่าเด็กเสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอด...


           และที่น่าตะลึงกว่านั้น คือน้องชายของพระเอก กลับเป็นเด็กที่แม่พระเอกขอมาเลี้ยงเพื่อทดแทนลูกที่หายไป (แม่ของพระเอกไม่เคยรับรู้ว่าตัวเองคลอดลูกแฝด) จึงทำให้พระเอกสำนึกได้ว่าแม่ของตัวเป็นคนดีและรักลูก เพียงแต่เธอไม่เคยรู้ว่าลูกของเธอยังมีตัวตนอยู่ พระเอกจึงไม่คิดจะบอกความจริงให้แม่เสียใจ เพราะตัวเองก็กำลังจะตาย จึงได้แต่ขอให้แม่ทำอาหารให้กิน ซึ่งเป็นมื้อแรกและมื้อเดียว ก่อนที่พระเอกจะไปตาย โดยบริจาคหัวใจไว้ให้ลูกชายคนที่แม่เลี้ยงดู...

 

 
   
  Sorry, i love you : ซงอึนแช  
 

 

            เป็นไงคะ เนื้อเรื่องที่เศร้าแต่กินใจมากๆ เป็นการเล่นกับความรู้สึกของคนดู โดยมีการจูงใจให้คล้อยตาม ก่อนที่จะหักมุมแบบนิ่มๆ และลงตัว ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ กลายเป็นหนังซีรีส์ยอดเยี่ยมประจำปี 2004 ของเกาหลีที่กวาดรางวัลถึง 5 รางวัลของ KBS Acting Award พ่วงด้วยพระเอกและนางเอกยอดเยี่ยมในปีเดียวกัน


            ส่วนนางเอกของเรา หรือซงอึนแช (แสดงโดย Im Soo Jung) ก็มีบทเด่นมากๆ ไม่แพ้กัน โดยเล่นเป็นพี่เลี้ยงซึ่งหลงรักน้องชายพระเอกที่เป็นนักร้องดัง มาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่น้องชายพระเอกกลับคิดว่า อึนแชเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น และหันไปหลงรักเพื่อนสนิทของนางเอกที่เป็นดาราดัง ทำให้นางเอกต้องเสียใจอยู่ตลอด และพยายามช่วยเหลือคนที่ตนรักให้สมหวัง ซึ่งเมื่อเสร็จภารกิจแล้ว นางเอกก็ต้องพยายามตัดใจ จนไปพบกับพระเอกที่มารับหน้าที่เป็นผู้จัดการของน้องชายตัวเอง เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับแม่ และทั้งคู่ก็ได้หลงรักกัน


            บุคลิกของ Im Soo Jung นี้ออกในแนวน่ารัก ใสๆ ทั้งหน้าตาและการแต่งตัว ต้องขอชม Costume Designer ของเรื่องนี้ ที่ทำให้นางเอกดูดีในทุกฉาก ทั้งที่แต่งตัวแบบง่ายๆ (จะว่าไปแล้ว Costume Designer ของเกาหลีนี่ มักจะเลือกชุดให้ดาราได้สมกับ Character ที่ควรจะเป็น หลานของรำเพยก็เลยลอกไปใช้บ้างในโอกาสต่างๆ น่ารักมากเชียวค่ะ)


            ในเรื่องนี้ มีฉากที่กินใจมากๆ มีอยู่หลายฉาก แต่ที่รำเพยชอบมากที่สุด คือตอนที่พระเอกไปคุกเข่าที่นอกบ้านของแม่ของตัวเองภายหลังจากที่กินข้าวมื้อเดียวที่แม่ได้ทำให้ เพื่อขอบคุณที่ให้กำเนิด และระบายความในใจของตัวเองที่มีต่อแม่ที่รักมากที่สุด จนไม่อาจเกลียดแม่ที่ทิ้งตัวเองไปได้เลย ซึ่งฉากนี้จะอยู่ในตอนจบ ก่อนที่พระเอกจะออกไปเผชิญหน้ากับความตายที่รออยู่...


            ซึ่งการที่พระเอกขอให้แม่ของตัวทำอาหารให้นี้ นัยว่าเป็นการทำให้แม่ได้ทำหน้าที่ “เลี้ยงดู” ตัวเอง และทำหน้าที่ของการเป็นแม่ของตนเองอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากนี้ การที่พระเอกไม่ยอมบอกความจริง และขอให้เก็บทุกอย่างไว้กับตัวจนตายไป ยังเป็นการแสดงออกที่เสียสละอย่างมาก ที่ยอมเก็บความจริงที่น่าสลดเช่นนี้ไว้เพียงคนเดียว เพื่อไม่ให้แม่ผู้ให้กำเนิดต้องมาเสียใจกับการตายของตน


 
   
 

 


            นอกจากนี้ ยังมีจุดจบของเรื่องที่ประทับใจรำเพยมากเลยทีเดียว โดยให้นางเอกได้กลับไปที่ Australia เพื่อไปรำลึกถึงสถานที่ต่างๆ ที่พระเอกเคยพาไป โดยจะนำเสนอผ่านทางนางเอกที่ไปเยี่ยมตามสถานที่ต่างๆ และมองเห็นตนเองกับพระเอกที่ได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตมาร่วมกัน ซึ่งรำเพยว่าเป็นการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมมาก ทำให้ยิ่งซาบซึ้งกับความรักที่นางเอกมีต่อพระเอก ก่อนที่นางเอกจะไปจบฉากสุดท้ายของเธอ โดยการไปเยี่ยมหลุมศพของพระเอกและเสียชีวิตที่นั่น โดยทิ้งข้อความสุดท้ายไว้ว่า


            “แม้ในยามที่ฉันมีชีวิตอยู่ เขาก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งฉันคงจะทิ้งเขาให้อยู่โดดเดี่ยวอีกไม่ได้ นี่คงจะเป็นครั้งแรกของฉันที่ได้คิดเพื่อตัวเอง และอยู่เพื่อตัวฉันเอง ฉันยอมรับการลงโทษจากการกระทำนี้ทั้งหมด... ซงอึนแช”


             ซึ่งรำเพยคิดว่าเป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบมากทีเดียว โดยหากจะให้นางเอกอยู่เพื่อคิดถึงพระเอก ก็ดูจะทรมานไป และจะให้ลืมพระเอก ก็ไม่ตรงกับบุคลิกของตัวละครในเรื่อง การเลือกให้นางเอกต้องมาเสียชีวิตข้างหลุมศพนั้น เป็นการจบลงแบบ Tragedy ที่ยอดเยี่ยมและไม่ขัดความรู้สึกของผู้ชมเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีๆ ต่อคนทั้งคู่แบบต่อเนื่องให้ผู้ชมได้กลับมานั่งคิดถึงฉากต่างๆ ที่ทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน แม้ว่าจะมีความสวยงามและความสุขไม่มากนัก แต่ก็มีค่าอย่างเหลือเกิน (นี่นั่งเขียนไป น้ำตาคลอไปเลยนะคะเนี่ย...)


            สรุปแล้ว หากคุณๆ มีโอกาสได้ดูหนังซีรีส์เกาหลี รำเพยขอแนะนำว่าอย่าพลาดเรื่องนี้เลยนะคะ รำเพยขอยกให้เป็นหนังซีรีส์เกาหลีที่ดีที่สุดเท่าที่รำเพยเคยดูมาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นบท เป็นฉาก (แนะนำว่าบ้านของแม่พระเอกสวยมากๆ คะ ทั้งภายนอกและภายใน รวมทั้งสวนด้วย) ทั้งตัวแสดง พระเอก นางเอก สมแล้วที่กวาดรางวัลมาครองได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แล้วก็อย่าลืมดูหนังดูละคร แล้วย้อนกลับมาดูตัวเองด้วยนะคะ สิ่งใดที่ดีๆ ก็รับเข้าไว้ แต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็อย่าไปเอาเยี่ยงเอาอย่างเขาคะ... ว่าแล้วรำเพยก็ขอตัวไปก่อนนะคะ สวัสดีคะ ขอให้รวยๆ นะคะ...บ๊าย บาย...

-- รำเพย --

 
 

 

MV Animation ของเพลง Snow Flakes เพลงเอกจากเรื่อง Soryy, I love you

 

 
   
     
     
 

 

ตอนจบของเรื่อง (หากไม่กลัวเสียน้ำตา)
ฉากที่พระเอกขอให้แม่ทำอาหารให้กิน และไปคุกเข่าที่นอกบ้าน

 

 
   
 

 

ขอขอบคุณ MV จาก Youtube ค่ะ และภาพสวยๆ จาก

http://www.imbc.com/broad/tv/drama/samsoon/wallpaper/index.html#

http://www.kbs.co.kr/drama/misa/media/paper/paper.html

http://www.kbs.co.kr/drama/springwaltz/plus/paper/index.html

http://wizard2.sbs.co.kr/resource/template/contents/35_wallpaper.jsp?vProgId=1000027&vVodId=V0000289639&vMenuId=1000505

http://wizard2.sbs.co.kr/vobos/wizard2/resource/template/contents/35_wallpaper.jsp?vProgId=1000165&vVodId=V0000322657&vMenuId=1002877&rpage=6&cpage=1

 

 
     
           

 

 

 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 Tel. 66 2881 8536-7 Fax. 66 2881 8538
house servic, decoration design home architect architecture interior design designer homeplan residential furniture family decorat building build planning bareo cost news information structure arch drawing apartment idea bangkok develop foreman เฟอร์นิเจอร์ การซ่อมแซมบ้าน วัสดุแต่งบ้าน ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องอาหาร ออกแบบ ตกแต่งภายใน ออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ บ้านสวย มัณฑนากร สถาปัตย์ ตกแต่ง บาริโอ บารีโอ บริการ ปรึกษา รับสั่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามแบบ รับเหมาตกแต่ภายใน วรวุฒิ ธรรมกุลางกูร มยุรี ธรรมกุลางกูร