ห้องแห่งความลับในแฮร์รี่ พอตเตอร์, ตู้พิศวงในนาเนียร์, ประตูลับในลอร์ดออฟเดอะริงค์…

      ไม่ว่าในหนังสือหรือหนังเรื่องไหนๆ ก็มักจะมีสถานที่ลับๆ แบบนี้ไว้ให้ตื่นตาตื่นใจกันอยู่เสมอ

แต่แน่นอนค่ะว่านิยายก็มักจะมาจากเรื่องจริง…ในโลกของเรานั้นยังมีสถานที่ลับซ่อนอยู่มากมาย บางที่นั้นอาจถูกเปิดเผยหรือพบเจอแล้วและอนุญาตให้ผู้คนเข้าไปเยี่ยมชมได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีสถานที่ลับอีกหลายแห่งที่ยังคงเป็นความลับที่เรายังไม่รู้ซ่อนอยู่อีก

      น่าเสียดายที่เราไม่สามารถพาทุกท่านไปดูสถานที่ลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผยได้ แต่ถ้าเป็นที่ที่เปิดเผยและสามารถเข้าเยี่ยมชมได้แล้วแต่บางท่านอาจจะยังไม่รู้นั้น วันนี้เรามีมาแนะนำให้ได้รู้จักกันที่นี่แล้วค่ะ 🙂

 

      สถานที่ลับแห่งแรกคือสถานที่ลับที่ซ่อนอยู่ใน Landmark อันโด่งดังทั่วโลกค่ะ

      อันดับแรกที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้คือ ‘ห้องลับในหอไอเฟล’ ที่ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำแซน ในกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส

 

(credit : http://www.travelandleisure.com)

 

      สูงขึ้นไปจากชั้นชมวิวของหอไอเฟลนั้น ‘กุสตาฟ ไอเฟล’ สถาปนิกผู้ออกแบบสถานที่แห่งนี้ได้ออกแบบมันให้เป็นห้องพักส่วนตัวขนาดเล็กที่ไว้ใช้รองรับเฉพาะแขกคนสำคัญ เช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน หลังจากห้องลับแห่งนี้ถูกเปิดเผยขึ้นมาเคยมีชาวฝรั่งเศสหลายคนที่เสนอเงินจำนวนมากเพื่อเข้าไปพักอยู่ในห้องนี้สักคืนแต่กลับโดนปฏิเสธ…ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษเพื่อเข้าไปพักข้างใน แต่รัฐบาลฝรั่งเศสได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชื่นชมห้องแห่งนี้ได้จาก ‘ข้างนอก’ แล้วค่ะ

      ถ้าใครมีโอกาสได้แวะไปปารีสก็อย่าลืมแวะไปชมห้องพักส่วนตัวของกุสตาฟ ไอเฟลผ่านกระจกกันนะคะ 🙂

 

      หากใครที่จะไปเที่ยวที่สหรัฐอเมริกาก็คงจะขาดไม่ได้กับ ‘เทพีเสรีภาพ’ ในรัฐนิวยอร์กและ ‘ภูเขารัชมอร์’ (Mount Rushmore) ในรัฐดาโกต้าซึ่งทั้งสองสถานที่นี้เองก็มีห้องลับๆ ซ่อนอยู่เช่นกัน

      อาจจะรู้กันมาบ้าง ว่าเทพีเสรีภาพเปิดให้คนขึ้นไปชมวิวของนิวยอร์กซิตี้และมหาสมุทรแอตแลนติกได้ใน ‘มงกุฏ’ ของเธอ แต่จริงๆ เทพีเสรีภาพนั้นยังมีห้องลับที่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมกันด้วยค่ะ นั่นคือบริเวณ ‘คบเพลิงของเทพีเสรีภาพ’ นั่นเอง

 

(credit : http://www.pinterest.com)

 

      แรกเริ่มเดิมทีแล้วห้องในคบเพลิงของเทพีเสรีภาพสามารถขึ้นไปได้ค่ะ แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 บริเวณแขนและคบเพลิงของเทพีเสรีภาพได้รับความเสียหายจากลูกหลงที่เป็นสะเก็ดระเบิดโดยสปายของประเทศเยอรมัน แม้ว่าหลังจากนั้นในปี ค.ศ.1984 เทพีเสรีภาพจะได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเปิดให้ใครขึ้นไปเข้าชมในคบเพลิงอีกเลยค่ะ

 

      ส่วนที่ภูเขารัชมอร์นั้นก็มี ‘ห้องลับอยู่ด้านหลังศีรษะของอับราฮัมลินคอน’ ค่ะ

 

(credit : http://www.businessinsider.com / http://www.travelandleisure.com)

 

      ห้องลับแห่งนี้เป็นเพียงห้องลับขนาดเล็ก ที่เข้าไปได้ไม่กี่คนเท่านั้นค่ะ แต่การจะเข้าไปยังห้องลับแห่งนี้ก็ยากมากเช่นกันและแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินขึ้นไปเพราะเส้นทางนั้นชันมาก คาดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะภายในห้องนี้ได้เก็บเอกสารสำคัญอย่างเอกสารประกาศอิสระภาพ กฏหมายรัฐธรรมนูญฉบับจริง บัญญัติสิทธิพลเมืองและเอกสารสำคัญทางการเมืองอื่นๆ เอาไว้นั่นเองค่ะ

 

      อีกสถานที่หนึ่งที่อยากจะแนะนำ เพราะยังไม่มีผู้รู้จักมากเท่าไหร่ก็คือ ‘ห้องลับใต้ดินใน Greenbrier Bunker’ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็น Greenbrier Resort ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นกันค่ะ

 

(credit : https://storiesofworld.com)

 

      ห้องลับแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามเย็นโดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาค่ะ บังเกอร์แห่งนี้ถูกซ่อนอยู่ในชั้นใต้ดินใต้โรงแรมสี่ดาวอย่าง The Greenbrier Resort ค่ะ สถานที่แห่งนี้ประกอบด้วยห้องต่างๆ หลายห้องทั้งห้องประชุม ห้องพยาบาล โรงอาหาร ห้องเก็บน้ำและพลังงานสำรองเป็นต้น สามารถรองรับคนได้มากถึง 1,100 คนเลยทีเดียว เพราะรัฐบาลกังวลว่าจะระเบิดนิวเคลียร์นั่นเอง ปัจจุบันแขกที่เข้าไปพักใน The Greenbrier Resort สามารถซื้อแพคเกจทัวร์ชมบังเกอร์แห่งนี้ได้แล้วค่ะ

 

      ถัดมาในประเทศแถบยุโรปกันบ้าง ในประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดแต่มีอำนาจทางด้านศาสนามากที่สุดอย่าง ‘นครรัฐวาติกัน’ นั้นก็มีความลับก็ซ่อนอยู่ใน ‘ห้องลับในห้องสมุดวาติกัน’ ค่ะ

 

(credit : http://www.freerepublic.com/focus/news/3015647/posts)

 

      ห้องสมุดของวาติกันเป็นห้องสมุดเพื่อการค้นคว้าหนังสือเกี่ยวกับศาสนา กฏหมาย ปรัชญา วิทยาและเทคโนลียีที่บุคคลภายนอกสามารถซื้อตั๋วไปเข้าชมด้านในได้ แต่แน่นอนว่าบางส่วนของห้องสมุดแห่งนี้ก็สงวนไว้เฉพาะบุคลากรภายใน นอกจากนี้ภายในห้องสมุดยังมีห้องลับที่เก็บเอกสารสำคัญทางศาสนาและจดหมายเหตุที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่อ่านได้เฉพาะพระสันตปาปาเท่านั้น และเมื่อหลายปีก่อนได้มีการเปิดเผยเอกสารบางส่วนจากเอกสารกว่าแสนฉบับ ในบรรดาเอกสารเหล่านั้นมีจดหมายจากอับราฮัม ลินคอร์นถึงพระสันตปาปา หรือจดหมายจากเจฟเฟอร์สัน เดวิสถึงพระสันตปาปา เป็นต้น

 

      ไม่ไกลจากนครรัฐวาติกัน…ในกรุงโรม ประเทศอิตาลีนั้นก็ยังเป็นที่ตั้งของ ‘มหาวิหาเซนต์ปีเตอร์’ ซึ่งภายในโดมของมหาวิหารนั้นเองก็มี ‘ห้องลับที่โดมของมหาวิหาร’ นั่นเองค่ะ

 

(credit : https://delightfullyitaly.com/2013/10/12/climbing-up-st-peters-basilicas-dome/)

 

      เป็นห้องลับที่ไม่ลับเท่าไหร่แล้วในปัจจุบันเพราะตอนนี้ทางมหาวิหารได้เปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเพื่อขึ้นไปข้างบนได้ พื้นที่นั้นจะแบ่งออกเป็นพื้นที่รอบโดมภายใน คือจะเป็นคล้ายระเบียงอยู่รอบๆ ฐานโดมเพื่อเดินชมความงามของภาพวาดและศิลปะโมเสกที่ศิลปินได้สร้างสรรค์เอาไว้ และจากจุดนั้นเดินขึ้นไปตามทางบันไดเวียนแคบๆ ต่ออีกหลายร้อยขั้นปีนอยู่ราวๆ สิบนาทีก็จะออกไปพบกับชั้นดาดฟ้าที่จะให้คุณชมวิวของกรุงโรมได้ 360 องศากันเลยทีเดียว

 

      ที่ขาดไม่ได้เลยหากจะพูดถึงประเทศในฝั่งยุโรปคือประเทศอังกฤษนั่นเอง

      ที่ประเทศอังกฤษแลนด์แดนผู้ดี ต้นกำเนิดของคำว่า Lady and Gentleman แบบนี้แน่นอนว่ามันต้องมีสถานที่พบปะกันระหว่างหนุ่มๆ ผู้ดีเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้างล่ะ และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘White’s Gentleman Club’ ในกรุงลอนดอน

 

(credit : http://anotherlookbookreviews.blogspot.com)

 

      คลับที่ตั้งอยู่โดดเด่นบนถนน St.James Street แต่กลับลึกลับสำหรับสาวๆ เพราะคลับแห่งนี้อนุญาตให้เฉพาะผู้ชายเข้าไปเท่านั้น และมีกฏข้อสำคัญคือ ‘ห้ามผู้หญิงเข้า’ ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาในปีค.ศ.1693 สมาชิกของคลับแห่งนี้ก็เป็นถึงชนชั้นสูงของสหราชอาณาจักรทั้งนั้นทั้งเจ้าชายแห่งเวลล์ เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งแคมบริดจ์หรือทอม สเตซี่เป็นต้น แต่ในปีค.ศ.1991 กฏข้อห้ามสำคัญอย่าง ‘ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้า’ ต้องถูกทำลายลงเพราะ ‘ราชินีอลิซาเบธที่ 2’ นั้นได้เข้าไปเยี่ยมเยียนภายในคลับแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่าท่านเป็นหญิงสาวคนแรกและคนเดียวที่ได้เข้าไปในคลับของสุภาพบุรุษแห่งนี้

 

      แม้ทางฝั่งเอเชียจะไม่ได้นิยมมี ‘ห้องลับ’ เหมือนทางโลกตะวันตก แต่ถ้าหากเป็น ‘พื้นที่ลับ’ แล้วล่ะก็พอจะมีให้พูดถึงอยู่เหมือนกันค่ะ…ในเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่นยังมี ‘พื้นที่ลับของลัทธิชินโต’ หรือ ‘Ise Grand Shrine’ ที่ยอมให้เพียงนักบวชและตระกูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้

 

(credit : http://anotherlookbookreviews.blogspot.com)

 

      ศาลเจ้าของลัทธิชินโตแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย 4 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อบูชาเทพเจ้า Amaterasu หรือเทพีแห่งแสงอาทิตย์และจักรวาลซึ่งเป็นเทพีที่เชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์และคนญี่ปุ่น เป็นเทพที่ชาวญี่ปุ่นให้ความนับถือสูงสุดอีกองค์เลยทีเดียว ตามความเชื่อของลัทธิชินโตที่เชื่อใน ‘การตายและกลับมาเกิดใหม่’ ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้จะถูก ‘รื้อถอนและสร้างใหม่’ ทุกๆ 20 ปี ตัว Grand Shrine จะเป็นศาลเจ้าชั้นในและที่สถิตย์ของเทพทำให้ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป แต่ถ้าเป็นชั้นกลางหรือชั้นนอกที่เป็นศาลเจ้ารองราวๆ 125 หลังก็สามารถเข้าไปได้ตามโอกาสค่ะ

 

      สุดท้ายแล้วสถานที่แห่งความลับเหล่านั้นมักจะมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลและชวนให้เราเข้าไปค้นหา ไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะสร้างขึ้นจากความเชื่อ สร้างขึ้นจากความต้องการส่วนตัว สร้างขึ้นเพื่อป้องกันหรือสร้างขึ้นเพื่อแอบซ่อนบางอย่างแล้ว แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นความลับ มันก็ชวนให้เราอยากจะรู้กันใช่มั๊ยล่ะค่ะ 🙂