MODERNIST_banner

Modernist : In the Movie

 

ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ดูหนังเพียงแค่เนื้อหา นักแสดง หรือชื่อเสียงของผู้กำกับเท่านั้น แต่ยังให้ความสนใจในส่วนของโปรดักชั่น ภาพ ฉาก รวมถึงสถานที่ต่างๆ ของหนัง ถึงจะออกมาได้สวยงามสมบูรณ์แบบ

ก่อนอื่นขออธิบายคำนิยามของ “Modernist” แบบสั้นๆ ก่อนนะคะ Modernist Architectures เริ่มเกิดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือประมาณปี ค.ศ.1920-1960 โดยมีพื้นฐานมาจากแนวความคิดแบบ Functionalism ลักษณะงานออกแบบจะสื่อถึงความงามของตัวอาคาร เน้นความประหยัด ตรงไปตรงมาในเรื่องการใช้สอย ตัดความฟุ่มเฟือยหรูหราทางอารมณ์หรือการเอาใจใส่ในรายละเอียดปลีกย่อยของสถาปัตยกรรมทิ้งไป

เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว คงไม่แคล้วที่จะพาแฟนๆ บาริโอไปท่องโลกภาพยนตร์กัน แต่เราจะยังคงคอนเซปต์ของบาริโอที่จะสอดแทรกสาระดีๆ เรื่องงานออกแบบให้คุณได้เพลิดเพลินและเต็มไปด้วยความรู้ทุกครั้ง ที่อ่าน …เคยสังเกตกันไหมคะ? เวลาละครหรือภาพยนตร์เรื่องไหนที่ดังๆ มักจะมีแฟนคลับตามรอยไปเที่ยว กันมากมาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในบ้านเรา คือ ละครบุพเพสันนิวาส เช่น วัดไชยวัฒนาราม จังหวัดอยุธยา หรือฝั่งฮอลลีวูดอย่าง แฮรี่พอตเตอร์ ที่คนมักให้ความสนใจและไปเยี่ยมชมในสถานที่ที่ทางทีมงานเคยไปถ่ายทำ ซึ่งในส่วนของงานสถาปัตยกรรมแบบ Modernist  มักถูกใช้เป็นบ้านของตัวละครหลักในภาพยนตร์ ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบยุคใหม่ได้นำมาปรับใช้ในผลงานปัจจุบัน วันนี้เรามาดูกันว่าต้นแบบของงาน Modernist ที่ปรากฏอยู่บนจอหนังนั้นจะสวยงาม โดดเด่นเพียงไหน และมีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ……..

ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรม Modernist จากภาพยนตร์

 

Cr. Campiglio

1. The Villa Necchi Campiglio – I am Love

 

ก่อนจะมาเป็นบ้านของนักแสดงนำที่หลายคนตกหลุมรักอย่าง Tilda Swinton ในภาพยนตร์เรื่อง I AM LOVE นั้น ผู้กำกับอย่าง Luca Guadagnino บอกว่าเขาปวดหัวกับการหาบ้านที่แตกต่างจากบ้านของคนมีฐานะทั่วไปอยู่นาน กว่าจะมาเจอ The Villa Necchi Campiglio โดยบังเอิญ และถูกนำมาใช้เป็นโลเคชั่นหลักในการถ่ายทำ ซึ่งเป็นบ้านที่ตัวเอกอย่าง Tilda  และครอบครัวของเธออาศัยอยู่

The Villa Necchi Campiglio เป็นงานออกแบบสถาปัตยกรรมของอิตาลีในยุค INTER-WAR (ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2)  ถูกสร้างขึ้นโดย Piero Portaluppi สถาปนิกชาวอิตาเลียน ในปี 1932 – 1935 และต่อมาได้ถูกปรับปรุงใหม่โดย Tommaso Buzzi ซึ่งภายในบ้านถูกตกแต่งในสไตล์Luxury มีนวัตกรรมเทคโนโลยี และวัสดุต่างๆ ที่โดดเด่น

Cr. blog.wanken.com

2. The Vandamm House – North by Northwest

 

มาต่อกันที่หนัง Thriller สุดคลาสสิกในปี 1959 ที่หลายคนคิดว่าบ้านซึ่งเป็นหนึ่งในโลเคชั่นหนังเรื่องนี้ เป็นบ้านที่สร้างขึ้นจริง 100% แต่ไม่ใช่ค่ะ!! เพราะบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาผ่านกราฟฟิกคอมพิวเตอร์ที่เนียนสุดๆ นั้นก็คือ The Vandamm House บ้านสไตล์ Modernist ที่ปรากฎอยู่ในหนังของผู้กำกับชื่อดังระดับตำนานอย่าง  Alfred Hitchcock ในเรื่อง North by Northwest เล่าถึงเรื่องราวของ Cary Grant นักโฆษณาชาวนิวยอร์กที่ถูกลักพาตัวเพราะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสายลับและพยายามที่จะฆาตกรรมเขา และมีการจัดฉากให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ โดยจะมีฉากที่ Grant ตัวละครในเรื่องได้แอบเข้าไปในคฤหาสน์บนภูเขาของตัวร้าย

 สำหรับตัวบ้านมีความตั้งใจออกแบบให้คล้ายคลึงกับงานออกแบบสไตล์ Prairie School ของ Frank Lloyd Wright สถาปนิกชื่อดัง ซึ่งจุดเด่นคือ Horizontal Line หรือแนวนอนที่ชัดเจน และงาน Interior ที่เปิดกว้างโดยการใช้วัสดุท้องถิ่น ภายนอกบ้าน The Vandamm House  ผู้กำกับได้ใช้วิธี MATTE  Painting หรือการเปลี่ยนฉากหลังบางส่วนในภาพยนตร์ด้วยการวาด ประกอบ หรือสร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้ภาพมีความสมบูรณ์สวยงาม และดูสมจริง ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์สร้างมันขึ้นมาเองทั้งหมด

Cr. anothermag.com

3. Googie Diner – Pulp Fiction

 

อีกหนึ่งผลงานขึ้นชื่อในเรื่องสถาปัตยกรรม Modernist ซึ่งก็คือ ฉากในร้าน Googie Diner จากภาพยนตร์เรื่อง Pulp Fiction  หนังแก๊งเตอร์ชื่อดังหนึ่งในผลงานการกำกับของ Quentin Tarantino  ทราบไหมว่าก่อนจะมาโด่งดังเป็นร้าน Googie Diner นั้น ร้านนี้มีชื่อว่า Holly’s เป็นร้านอาหารที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 1956 (ก่อนจะเปลี่ยนเป็น The Hawthorne Grill ในเวลาต่อมา) ช่วงเวลาถ่ายทำหนังร้านได้ถูกปิดมาแล้วกว่า 4 ปี และด้วยความสำเร็จของหนัง จึงทำให้ร้านกลับมาเปิดใหม่ในปี 1995  แต่สุดท้ายร้านก็ถูกทุบไปในปี 1999 อย่างไรก็ตามถึงแม้จะถูกทุบไปแล้ว แต่ฉากภายในร้านนี้ก็ยังเป็นที่จดจำและเป็นอีกหนึ่งฉากสุดประทับใจตลอดกาลของวงการภาพยนตร์

Cr. flavorwire.com

4.The Sheats Goldstein Residence – The Big Lebowksi

 

มาต่อกันที่ภาพยนตร์เรื่อง The Big Lebowski หนัง Crime Comedy ปี 1998 ที่มีฉากเด่นอยู่ที่ The Sheats Goldstein Residence คฤหาสน์ของโปรดิวเซอร์หนังวาบหวิวในเรื่อง ชื่อ Jackie Treehorn

Cr. flickr.com

The Sheats Goldstein Residence ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังชาวอเมริกัน John Lautner สร้างขึ้นในปี 1963 ตัวอาคารมีจุดเด่นที่การผสมผสานกันระหว่างคอนกรีต ไม้ และเหล็กอย่างลงตัว ตั้งอยู่บนเขา Hollywood Hill ใน Los Angeles ส่วนเรื่องงานตกแต่งภายในก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะมีการใช้ประตูและกระจกสไลด์มอเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่อกันระหว่างเทอร์เรซกับห้องนั่งเล่น เพียงกดปุ่มก็จะสามารถเชื่อมหลายๆ ห้องด้วยกันได้ และที่สำคัญ The Sheats Goldstein Residence ยังมีอ่างน้ำร้อนที่สามารถนอนแช่น้ำพร้อมชมวิวมุมสูงของ LA ได้ด้วย วิวสวยในฝันขนาดนี้จึงทำให้ The Sheats Goldstein Residence เคยถูกใช้เป็นเซตใน VDO และถ่ายภาพของคนดังหลายคนอย่าง Snoop Dogg และ Daft Punk

Cr. onekindesign.com

5. Elrod House – Diamonds Are Forever

 

John Lautner  เป็นผู้อยู่เบื้องหลังอาคารสวยๆ ในภาพยนต์ชื่อดังมากมาย หนึ่งในนั้นคือ Diamonds Are Forever จากภาพยนตร์บู๊สุดมันส์อย่าง Jame Bond 007 หนังเรื่องนี้มีอาคาร Elrod House ตั้งอยู่ในเมือง Palm Springs ถูกใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของ Willard Whyte โดยตัวอาคารได้ออกแบบและผสมผสานความเป็นธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านการใช้พื้นหินที่ทำจากทรายกลายเป็นพื้นที่ใช้สอยได้อย่างมีประสิทธิภาพชวนทึ่ง และหลังคาโดมขนาดใหญ่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ร่มเงาของบ้านจากดวงอาทิตย์ทะเลทรายอันแข็งแกร่งโดยถูกแบ่งออกเป็นส่วนที่ยกขึ้นเพื่อรองรับสกายไลท์สำหรับแหล่งกำเนิดแสงทางอ้อม

Ken Adam โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์เรื่อง Jame Bond กำลังมองหาสถานที่แปลกใหม่ใช้ในการถ่ายทำ สร้างเป็นที่ตั้งของผู้ร้ายกล่าวว่า “มันเป็นสิ่งที่ใช่มากสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้” เขาเล่า “มันเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่ทันสมัยและน่าทึ่งมาก มันเหมือนกับว่าฉันออกแบบมันขึ้นมาโดยที่ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย!”

สวยงาม ถูกใจกันบ้างมั้ยคะ? ยังมีบ้านสวยๆ สไตล์ Modernism อีกมากมายที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดัง ไว้คราวหน้าจะนำมาให้แฟนๆ ได้ชมกันอีกนะคะ ^^