บทความนี้เป็นบทความของปี 2016 ซึ่งเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาดังนั้นจึงมีเนื้อหาบางส่วนที่อาจจะไม่ได้รับการ Update อยู่บ้างเล็กน้อยแต่ส่วนใหญ่ยังเป็นข้อมูลที่ใช้ได้และเป็นแนวโน้มสำหรับประเทศเราในปี 2017 และปีถัดไปได้พอดีซึ่งเราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตจึงสรุปสาระสำคัญที่น่าสนใจมาดังนี้

 

 

  • Boomerang Employees คือ พนักงานที่ลาออกไปแล้วขอกลับเข้ามาทำงานใหม่โดยเหตุผลในการลาออกมักจะเป็นในเรื่องค่าจ้างที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากบริษัทใหม่หรือความต้องการออกไปทำงานด้วยตัวเองตั้งบริษัทของตัวเองซึ่งในอดีตที่ผ่านมาพนักงานกลุ่มนี้จะไม่เป็นที่ต้อนรับของบริษัทส่วนใหญ่แต่ในปัจจุบันบริษัทยุคใหม่กลับคิดว่าพนักงานกลุ่มนี้เป็นพนักงานที่มีประสบการณ์ (ทั้งในและนอกบริษัท) มีความเข้าใจแนวทางและ/หรือนโยบายขององค์กรเป็นอย่างดี (โดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกอบรมหรือปรับทัศนคติ) ซึ่งเมื่อรับกลับเข้ามาก็สามารถเริ่มงานได้ทันทีพนักงานประเภท Boomerang นี้หากมีความสามารถสูงๆหรือมี Profile ดีๆก็จะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ

 

 

  • การสิ้นสุดของยุคของ Baby Boomersเขาจะพูดถึงเรื่องของการเกษียณอายุของคนที่อยู่ในกลุ่ม Baby Boomers รุ่นสุดท้าย (เกิดปี 1964 หรือพ.ศ. 2507) ซึ่งจะสิ้นสุดในปีนี้ทำให้มีตำแหน่งงานระดับบริหารว่างลงและส่งผลดีต่อคนในกลุ่ม Gen-Y หรือ Millenials (เกิดระหว่างปี 1980 – 1995) ที่จะมีพื้นที่ให้ขยับขยายได้มากขึ้นโดยคนกลุ่มนี้เมื่อได้รับตำแหน่งบริหารก็จะมีแนวโน้มที่จะลดลำดับชั้นในสายงานการบังคับบัญชาลง (Flatten Corporate Hierarchies), เน้นการจ่ายงานมากขึ้นและพยายามที่จะบริหารบริษัทให้ตอบแทนสังคมมากขึ้นแทนที่จะทำกำไรเพียงอย่างเดียว

 

 

  • การเริ่มเข้ามาในตลาดแรงงานของคนยุค Gen-Z(ปี 1994 – 2010) ที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานตั้งแต่ปี2017 เป็นต้นไปโดยเด็กรุ่นนี้เป็นผลพวงของยุคเศรษฐกิจตกต่ำ, มีปัญหาจากเงินกู้เพื่อการศึกษาและที่สำคัญคือส่วนใหญ่จะได้รับการเลี้ยงดูจากคนยุค Gen-X (1965 – 1979) ทำให้คนรุ่นนี้มีความซื่อสัตย์ต่อองค์กรสูงกว่าคนในยุค Gen-Y และยังมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ดีมากกว่า, มีความยืดหยุ่นและค่อนข้างมีเหตุผลในการทำงานหรือซื้อสินค้าต่างๆมากกว่าอีกด้วยนอกจากนี้คนยุค Gen-Z ยังจะเลือกทำงานกับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ Work-life Balance และมีโอกาสเติบโตมากกว่าที่จะตัดสินใจจากอัตราเงินเดือนเป็นหลัก

 

 

  • Workplace Flexibilitiesจะกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกองค์กรโดยพนักงานยุคต่อไปจะเริ่มมองหาความยืดหยุ่นและเป็นอิสระมากขึ้นอันเป็นผลพวงมาจากความก้าวหน้าของการติดต่อสื่อสาร (โทรศัพท์มือถือ, Chat ฯลฯ) รวมทั้ง Co-working Space และเทคโนโลยีใหม่ๆทำให้พนักงานเริ่มมองหาสถานที่ทำงานที่ให้อิสระและทางเลือกในการทำงานมากขึ้นซึ่งมีแนวโน้มจะเลือกบริษัทที่ให้ความยืดหยุ่นได้มากกว่า

    ฉะนั้นการออกแบบออฟฟิศ ในยุคต่อไปจะเน้นในเรื่องของการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานมากขึ้น (Work-Life Balance) จนมีการคาดการณ์ว่าพื้นที่เฉลี่ยของพนักงานจะลดลงจาก 40 ตร.ม./คนเหลือเพียง 15 ตร.ม./คนภายในปี 2020 และจากผลการสำรวจพบว่าพนักงานรุ่นต่อไปนั้นเริ่มมีการเรียกร้องให้มีพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นรวมทั้งมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นโดยเฉพาะการมี Lounge หรือพื้นที่พักผ่อนของพนักงานไว้ด้วยดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาคุณภาพของการตกแต่งภายในให้มากขึ้นเพื่อจูงใจพนักงานที่มีความสามารถสูงรุ่นใหม่ๆให้เข้ามาทำงานอย่างมีความสุขและจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิผลของบริษัทต่อไป

 

 

  • Wearable Technologiesจะเติบโตมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่จะต้องมีอุปกรณ์ประเภท Fitbit หรือ Apple Watch ติดตัวอย่างน้อยคนละ 1 ชิ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อเตือนให้มีการขยับร่างกายเป็นระยะๆตลอดวันรวมทั้งเพื่อตรวจสอบสุขภาพของแต่ละคนซึ่งผลของการมีอุปกรณ์เหล่านี้จะทำให้พนักงานรุ่นใหม่มีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นกว่ายุคก่อนหน้านี้ด้วย

 

 

  • ประกันสังคมปรับขึ้นราคามีผลต่อการจ้างงานอย่างเห็นได้ชัด (ในบทความจะพูดถึง Obama Care – ที่มีแนวโน้มจะถูกยกเลิกในยุค Donald Trump) โดยการที่ประกันสังคมประกาศจะขึ้นอัตราการจัดเก็บและปรับเพิ่มเพดานเงินเดือนมากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประกันสังคม (และเพิ่มรายจ่ายให้กับบริษัททั้งหมด) จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการจ้างงานของบริษัทต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับลดพนักงานประจำในตำแหน่งที่ไม่จำเป็นออกเพื่อลดต้นทุนลงและหันไปจ้างพนักงานชั่วคราวหรือ Freelance แทน โดยสิ่งนี้จะมีผลต่อการเติบโตของ Gig Economy (ระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากระบบ Freelance)ซึ่งคนรุ่นถัดไปจะให้ความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆเพราะสามารถบริหารจัดการเวลาของตนเองได้, มีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้นรวมถึงการได้เป็นเจ้านายของตนเองบวกกับการพัฒนาของระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพรวมไปถึงบริษัทผู้ว่าจ้างที่ยินดีจะใช้บริการของมืออาชีพที่มีความสามารถสูงโดยจ่ายเงินเป็นครั้งๆตามผลงานมากกว่า

 

 

  • การเข้ามาของหุ่นยนต์หรือระบบ Automationในอนาคตอันใกล้บริษัทจะเริ่มหันมาใช้งานระบบ Automation หรือหุ่นยนต์มากขึ้นโดยสามารถกล่าวได้ว่าโลกการทำงานในยุคต่อไปจะเป็นยุคที่จะผลัดเปลี่ยนจากการใช้คนทำงานมาเป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์เช่นเดียวกับยุคที่คนเปลี่ยนจากการขี่ม้ามาเป็นการขับขี่รถยนต์หรือจากยุคของโทรศัพท์บ้านมาเป็นโทรศัพท์มือถือเป็นต้นโดยบริษัทต่างๆมีแนวโน้มที่จะนำระบบ Automation เข้ามาใช้งานเพื่อทำงานแทนตำแหน่งงานที่ไม่ซับซ้อนมากขึ้นซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานลดข้อผิดพลาดจากคน (Human Error)ซึ่งถือเป็นการลงทุนระยะยาวในการลดค่าใช้จ่ายจิปาถะของพนักงานอีกด้วย (การลงทุนด้านสถานที่, สวัสดิการและภาษีต่างๆ)

 

 

  • สิทธิในการลาคลอดที่เพิ่มขึ้นโดยบริษัทในยุคถัดไปจะมองเห็นความสำคัญของพนักงานที่จำเป็นต้องลาคลอดมากขึ้นโดยจะมอบสิทธิพิเศษให้ลาได้ไม่จำกัด (โดยจะจ่ายค่าจ้างเมื่อพนักงานเริ่มกลับมาทำงาน) ซึ่งเป็นสวัสดิการที่จะทำให้พนักงานหญิงที่มีคุณค่าต่อบริษัทไม่จำเป็นต้องลาออกนอกจากนี้พนักงานที่เป็นพ่อก็สามารถใช้สิทธิการลาคลอดได้เช่นกันโดยจากการสำรวจพบว่าพนักงานชายส่วนใหญ่จะกลับมาทำงานภายหลังจากลาหยุดไปประมาณ 1 สัปดาห์

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก:

– 10 Workplace Trends You’ll See In 2016

by Dan Schawbel, Keynote speaker and the New York Times bestselling author of Promote Yourself and Me 2.0.

https://www.pinterest.com/

https://stocksnap.io/