แม้จะก้าวเข้าสู่เดือนที่ 2 ของปีแล้ว แต่ฟีลปาร์ตี้ยังคงอยู่ พลังยังพุ่งพล่าน ครั้นจะไปแฮงค์เอาท์ทุกวันก็ดูจะซ้ำซากไปหน่อย วันนี้เราเลยมี 8 กิจกรรมเอาท์ดอร์สุดฮิต แถมยังเป็นมิตรต่อสุขภาพ และยังได้ภาพสวย ๆ ไว้ลงโซเชียลแบบคูล ๆ เรียกยอดไลค์ได้อีกด้วยมาแนะนำกัน เผื่อใครมีเวลาว่างในวันหยุดจะลองเปลี่ยนบรรยากาศการพักผ่อน ชวนครอบครัวและผองเพื่อนออกไปสนุกกันค่ะ

กิจกรรมแรก : สวมวิญญาณพี่ตูน, น้องก้อย วิ่งรีดไขมันออกจากพุงน้อย ๆ ที่สวนลุมฯ

 

 

      ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสวิ่งมาแรงมาก จนพาให้บ้านเรามีจำนวนนักวิ่งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เนื่องจากกีฬาวิ่งเป็นกีฬาที่เริ่มง่าย ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย แค่มีใจที่จะลุกขึ้นมาวิ่ง วิ่ง และวิ่ง แถมพอวิ่งแล้วร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมาทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ลดความเครียดไปได้ชั่วขณะ ทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้น สมองก็ดีขึ้น เผลอ ๆ ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นจากการไปวิ่งเป็นประจำที่สวน หรือเข้าร่วมงานวิ่งมาราธอนต่าง ๆ อีกด้วย เห็นไหมคะว่าผลดีจากการวิ่งมีเยอะมากกว่าแค่ประโยชน์จากการออกกำลังกายจริง ๆ

 

      ส่วนสถานที่ที่ไปวิ่งแล้วดี เป็นมิตรต่อใจและสายตา ก็คือ สวนลุมพินี,สวนรถไฟ จตุจักร และสวนหลวง ร.9 ชมนกชมไม้ให้เพลิดเพลินใจไปพลาง ได้ออกกำลังกายเรียกเหงื่อไปพลาง บอกเลยว่าแฮปปี้สุด ๆ ไปเลยค่ะ

 

 

กิจกรรมที่ 2 : ลงคอร์สปั้นเซรามิก จิบกาแฟแบบชิค ๆ ด้วยแก้วที่มีเพียงใบเดียวในโลก

 

 

      เคยเป็นไหม เวลาที่เข้าร้านกาแฟเฟรนไชน์สุดหรูแล้วเจอแก้วกาแฟถูกใจ แต่ด้วยราคาที่แพงหูฉี่เลยทำใจควักเงินซื้อไม่ได้เสียที หยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมาเพียง 500 บาท แล้วไปลงคอร์สปั้นเซรามิกกันดีกว่า ไม่ว่าอยากจะได้แก้วน้ำ แก้วกาแฟ ถ้วยโถโอชาม ไปจนถึงจานข้าวแมวเล็ก ๆ  ก็สามารถปั้นออกมาได้ทั้งหมด อย่างไม่จำกัดจำนวน ได้ฝึกกล้ามเนื้อและสมาธิไปด้วยในตัว เป็นเรื่องดีๆ ที่น่าชวนครอบครัวมาเรียนรู้ไปพร้อมกัน เพราะนอกจากจะได้ใช้เวลาวันหยุดร่วมกันแล้ว พอจบคอร์สเรียนไป ยังได้เซ็ตจานชามกลับบ้านมาใช้ดินเนอร์ร่วมโต๊ะกันอย่างเก๋ ๆ แถมถ้าถ่ายรูปผลงานลงอินสตาแกรม รับรองคนชมเพียบแน่นอนค่ะ

      สถานที่เรียนปั้นเซรามิกเองก็มีอยู่หลายที่ให้เลือก ตั้งแต่ราคาย่อมเยาเริ่มต้นแค่คอร์สละ 500 บาท ส่วนถ้าขยับราคาขึ้นมาหน่อย แต่แลกมาด้วยความครบครันก็สามารถเลือกได้ หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ลองเข้าไปชมในเฟซบุ๊คของ คุณครูสอนปั้นเซรามิก www.facebook.com/Joe.Konroo หรือสตูดิโออย่าง ละมุนละไมสตูดิโอ ที่ www.facebook.com/lamunlamai.craftstudio ได้เลยค่ะ

 

กิจกรรมที่ 3 : เดินเล่นชมเมืองเก่า เข้าถึงความ Local

 

 

      หลังจากที่ได้ไปเยือนที่ต่าง ๆ มามากมาย บอกเลยว่าสิ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวเป็นที่จดจำได้มากขึ้น คือการได้เข้าไปรับรู้ ไปดู ไปเห็นวัฒนธรรมของที่นั้น ๆ และสถานที่จะนำเราเข้าถึงความ Local ได้มากที่สุด ก็คือตลาดเช้าและย่านชุมชนที่พักอาศัยของชาวเมืองนั่นเองค่ะ ลองตื่นเช้า ๆ ลงมาเดินเล่นตามร้านอาหารร้านประจำของ คนในพื้นที่ พูดคุยกับชาวบ้านถึงสภาพอากาศ ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของย่านนั้น หรือลองทานอาหารพื้นบ้านที่ไม่เคยได้ยินชื่อ นั่นแหละคือสิ่งที่จะคอยย้ำเตือนความทรงจำถึงเรื่องราวดี ๆ เมื่อเราได้ย้อนกลับไปที่แห่งนั้นอีกครั้ง

 

 

      เมืองเก่าที่เราไปมาแล้วประทับจิตประทับใจมาก ๆ มีหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น ปิล็อก จังหวัดกาญจนบุรี, ชุมชนริมน้ำจันทบูร จังหวัดจันทบุรี หรือแม้กระทั่งย่านชิโนโปรตุกีส จังหวัดภูเก็ตก็ถือว่าแจ่มเลย

 

กิจกรรมที่ 4 : ปีนเขา เข้าถ้ำ ดื่มด่ำธรรมชาติ

 

 

      เขยิบเข้าใกล้ความแอดเวนเจอร์อีกหน่อย เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติใหม่ ๆ จึงเกิดขึ้นมากมายในแทบทุกจังหวัด ขับรถไปไม่กี่ชั่วโมง ก็เจอที่สูดโอโซนเข้าปอด รับอากาศสดชื่น พอให้หลีกหนีชีวิตวุ่นวายในเมืองกรุงไปได้สักพัก แต่ไม่ว่าจะปีนเขาเล็ก เขาใหญ่ เข้าถ้ำหินลึก หรือแค่ไปยืนรับลมที่จุดชมวิว ก็ขอให้ปฏิบัติตามกฎของพื้นที่นั้น ๆ หรือทำตามที่เจ้าหน้าที่อธิบายอย่างเคร่งครัดกัน เพื่อความปลอดภัยด้วยนะคะ

 

 

      สถานที่ปีนเขา เข้าถ้ำใกล้ๆ เมืองกรุงก็เช่น ทางเดินศึกษาธรรมชาติเขากะโหลก จ.ปราณบุรี, ผาหินกูบ จ.จันทบุรี หรือถ้าใครสายบุญ ก็ไปปีนเขาเข้าวัดที่เขาคิชฌกูฏ เป็นการฝึกฝนความอดทนของตัวเองไปในตัวด้วยนะ

 

กิจกรรมที่ 5 : ปล่อยปู ดูนก พกแต้มบุญกลับบ้าน ที่อุทยานแห่งชาติ

 

 

      แม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าวัด แต่ก็สามารถสร้างบุญได้จากกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ในตอนนี้ ที่อุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีกิจกรรมปล่อยปู ปล่อยเต่า กันเป็นรอบ ๆ การมาปล่อยสัตว์น้อยเหล่านี้ที่อุทยานแห่งชาติ นั้นดีกว่าการซื้อจากตลาดเพื่อไปปล่อยเอง เพราะที่นี่จะมีคำอธิบายอย่างชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ว่าควรปล่อยสัตว์แบบไหน และสัตว์จะสามารถดำรงชีวิตต่อไปในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้หรือไม่ ตอกย้ำความมั่นใจได้ว่า สัตว์ที่เราทำบุญปล่อยไป จะสามารถมีชีวิตต่ออยู่ไปได้อย่างชัวร์ ๆ ไม่เป็นการสร้างบาปมากกว่าบุญ รวมไปถึงอธิบายข้อห้ามต่าง ๆ ที่ไม่ควรทำ ซึ่งเราก็ควรปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งครัดด้วยนะคะ

      ส่วนตัวอย่างอุทยานแห่งชาติที่มีกิจกรรมปล่อยปู ปล่อยสัตว์ต่าง ๆ เช่น อุทยานแห่งชาติปราณบุรี, อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร หรือศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นค่ะ

 

กิจกรรมที่ 6 : นั่งชมวิวริมคลอง ลองรับบทเป็นอังศุมาลิน

 

 

      ยิ่งโลกหมุนเดินหน้าไปไกลเท่าไหร่ คนเรายิ่งโหยหาอดีตกันมากขึ้น การหาเวลาว่างไปนั่งนิ่ง ๆ มองแม่น้ำไหลเอื่อย ๆ เพื่อจัดระเบียบความคิดในสมองตัวเองถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอ กับวิถีชีวิตริมคลองที่ไม่ได้แออัดเหมือนบนท้องถนน สวนผลไม้เล็ก ๆ น่ารัก ฝีมือชาวบ้านริมคลองปลูกเอาไว้ทั้งขายและทานเอง ร้านรวงริมคลองที่มีให้เลือกทั้งอาหาร กาแฟ เครื่องดื่มก็มีให้เลือกใช้บริการ เป็นความสะดวกสบายในแบบ Slow life ที่แท้จริง

      ร้านที่เราชอบไปนั่งมากที่สุดชื่อว่าร้านกาแฟบ้านริมคลอง ที่ซอยวัดตะเคียน จังหวัดนนทบุรี เป็นร้านที่ให้กลิ่นอายของความวินเทจ เพราะเจ้าของร้านชอบสะสมของเก่า ประเภทแผ่นป้าย รูปภาพ แก้วน้ำต่าง ๆ เป็นร้านสไตล์บ้าน ๆ แม่ครัวซึ่งก็คือเจ้าของร้านทำอาหารเอง ร้านนี้เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนถ้าอยากจะฮิป ๆ ขึ้นมาอีกหน่อย ก็แนะนำร้าน อาลมดี คาเฟ่ (บางกรวย) เป็นร้านกาแฟริมน้ำ อยู่ตรงคอสะพานระหว่างโรงพยาบาลบางกรวยและเทศบาลบางกรวย บรรยากาศดี แต่งร้านสไตล์โมเดิร์นขึ้นมาหน่อย เลือกเอาได้ตามสไตล์เลยค่ะ

      หรือถ้าใครอยากสัมผัสความเก่าแก่มากกว่านั้น ลองติดต่อทัวร์เรือนำเที่ยวคลองบางกอกน้อยดู แล้วจะพบว่ามีมุมเล็ก ๆ ที่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความคลาสสิค บ้านเรือนที่มีเสน่ห์ในตัวของมัน โดยจะให้เรือแวะตลาดน้ำเพื่อช็อปปิ้งอาหารการกินก็ยังได้ ก็แหม บ้านเราอุดมสมบูรณ์ทั้งบนบกและในน้ำอยู่แล้วนี่นา

 

 

กิจกรรมที่ 7 : ย้อนวัยไปใช้สกิลลูกเสือ-เนตรนารี ควงทัพพีทำกับข้าว,ตั้งแคมป์ แบกกล้องขึ้นดอย ไปตั้งหน้าตั้งตาคอยถ่ายทางช้างเผือก

 

 

      เทความรู้ลูกเสือ-เนตรนารีทิ้งมาหลายปี ทั้งตอกหมุดเต็นท์, ก่อไฟ, ผูกเชือก ได้เวลาขุดออกมาใช้ทั้งหมดในทริปนี้แล้วละค่ะ ลองหาที่ตั้งแคมป์ดี ๆ เปลี่ยนบรรยากาศการนอน มาเป็นแบบกลางแจ้ง ชมธรรมชาติบ้าง ลองใช้ชีวิตแบบไม่ต้องพึ่งพาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ไม่ต้องมีโทรทัศน์ หรือบางที่ก็ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์ดู แล้วจะพบว่า เวลาเดินไปช้ากว่าที่เราคิด แถมยังมีเวลาเหลือให้อยู่กับตัวเอง อยู่กับผู้ร่วมทริปได้ทั้งคืน เรียกว่าถ้ามากับเพื่อนก็ได้สนุกสุดเหวี่ยง มากับแฟนก็ได้ความโรแมนติก มากับครอบครัวก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ความสัมพันธ์ดีขึ้นทุกรูปแบบแน่นอน

      ประโยคที่ว่ากันว่า “ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว” นั้นทำให้รู้สึกอยากแบกกล้องไปไกลจากพื้นราบเพื่อหลีกหนีแสงสว่างของอาคารสูง  เพราะการที่ได้เงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นดาวเต็มฟ้า เป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ในเมืองเสียจริง แถมหากจะถ่ายรูปให้ติดดาวหรือทางช้างเผือกนั้นยิ่งยากกว่า นอกจากจะต้องอดทนกับลมหนาวและความง่วงแล้ว ยังต้องใช้สมาธิอย่างมากในการตั้งกล้องให้นิ่งที่สุด และใช้การลองผิดลองถูกในการตั้งสปีดชัตเตอร์อยู่นาน เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ใจรักและมีความอดทนอยู่พอสมควร แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนค่ะ พูดแล้วก็อยากจะหยิบขาตั้งกล้อง กับกล้องคู่ใจ แพ็คกระเป๋าออกไปผจญภัยกันแล้วล่ะ

 

 

      และนี่ก็คือ 8 กิจกรรมเอาท์ดอร์สายธรรมชาติบำบัด เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ๆในปี 2018 นี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมแบบไหน ขอให้เราได้เริ่มออกไปทำสิ่งใหม่ๆ นั่นก็ถือว่าเราได้เริ่มอะไรใหม่ๆเป็นของขวัญให้กับตัวเองแล้วค่ะ