Artist หรือ ศิลปิน หลายคนอาจจะคิดว่าใครๆก็สามารถทำได้ เพียงแค่การสร้างสรรค์ผลงานใดๆสักชิ้นขึ้นมาแล้วถูกกล่าวชื่นชมเพียงแค่นี้ก็เป็นศิลปินได้  แต่เราอาจะต้องแยกแยะให้ถูกต้อง ทุกวันนี้เราอาจจะมีความสับสนกับคำว่า”ศิลปิน” กันอยู่  “ศิลปิน” คือ ผู้รังสรรค์ผลงานต่างๆ ออกมาจากความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักวาดรูป  สิ่งที่วาดต้องออกจากจินตนาการของตัวเอง นักออกแบบ รวมทั้งนักเขียน นักประพันธ์งานต่างๆ หรือนักร้องนักดนตรีต้องเป็นคนที่แต่งทำนองและเนื้อร้องมาจากความคิดและความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง  ถึงจะเรียกบุคคลเหล่านี้ได้ว่าเป็นศิลปินตัวจริง

      อีกหนึ่งหน้าที่ที่สำคัญของ ศิลปิน คือการถ่ายทอดเรื่องราว และความรู้สึกออกมาในรูปแบบของผลงานศิลปะ ด้วยการตั้งโจทย์ให้กับตนเองว่าผลงานนั้นๆ จะต้องสามารถสื่อสารความหมาย อารมณ์ความรู้สึกและเรื่องราวให้ผู้อื่นรับรู้ได้ อีกทั้งยังต้องมีความน่าสนใจ และชวนให้คนดูเข้าใจ และสามารถเชื่อมโยงความรู้สึก และเรื่องราวของตัวเองเข้ากับงานศิลป์นั้นๆ ได้ด้วย”   มันจึงเป็นสิ่งที่เป็นกันได้ไม่ง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีบุคคลเหล่านั้นอยู่บนโลก  วันนี้บียอนขอหยิบสุดยอดศิลปินที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถมาบอกเล่าเรื่องราวความน่าสนใจ และอาจจะได้สร้างแรงบันดาลใจให้หลายๆคนได้ทำตามความฝันที่คิดไว้ครับ

 

Lady gaga

 

 

      สเตฟานี โจแอนน์ แอนเจลินา เจอร์มาน็อตตา หรือที่รู้จักในนาม เลดี้ กาก้า  เป็นศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลงเพลงป็อบ  ชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน ที่อาศัยอยู่ในมหานครนิวยอร์ก จากนั้น เด็กหญิงคนนี้ได้เติบโตขึ้นมาโดยถูกปลูกฝังความสามารถด้านการเล่นเปียโนมาตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ

      เธอเริ่มแสดงดนตรีครั้งแรกกับวงร็อกในนิวยอร์ก ต่อมาได้อยู่ในสังกัดอินเตอร์สโคป และต่อสัญญากับค่ายสตรีมไลน์ เธอเคยเขียนเพลงให้กับศิลปินร่วมสังกัด ทำให้ความสามารถด้านการร้องเพลงของเธอได้รับความสนใจจาก Akon และได้เซ็นสัญญากับ คอนไลฟ์ดิสทริบิวชัน เธอประสบความสำเร็จทางด้านดนตรีกับสถิติ Guinness World Records ถึง 13 สถิติ รางวัลแกรมมี่อีก 6 รางวัล และรางวัลนักแต่งเพลงเกียรติยศ นอกจากนี้ยังมีชื่อปรากฏอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ทรงอิทธิพลในวัฒนธรรมป็อบทั่วโลกอีกด้วย

      ในปี 2008  กาก้าได้เร่งทำอัลบั้มเปิดตัว ‘LADY GAGA’ ในชื่ออัลบั้ม The Fame เป็นแนวเพลงแดนซ์  อิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งถือว่าเป็นคนปลุกชีพแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาอีกครั้ง  และเพลงที่ทำให้รู้จักเลดี้กาก้านั้นก็คือ  Just Dance และ Poker face

 

 

      ทั้ง 2 เพลง เป็นปผลงานของ Gaga ร่วมแต่งและผลิตกับ Nadir Khayat หรือ Redone ก็เป็นที่นิยมและติดอันดับหนึ่งในหลายประเทศ ทำให้อัลบั้ม The Fame ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่มากถึง 6 สาขารางวัล และได้รับรางวัลในสาขาอัลบั้มเพลงอิเล็กทรอนิกส์/เพลงแดนซ์ยอดเยี่ยม และรางวัลเพลงแดนซ์ยอดเยี่ยมจากเพลง Poker Face

      ในปี 2009  เธอได้ประกาศวางจำหน่ายอัลบั้มเสริม The Fame Monster   เป็นอัลบั้มต่อจากอัลบั้มเปิดตัว The Fame เพื่อสื่อถึงด้านมืดของการมีชื่อเสียง เธอเปรียบความกลัวที่ต้องประสบหลังจากเป็นคนดังว่าเป็นปีศาจประเภทต่างๆ   โดยอัลบั้มนี้เธอ เขียนเพลงเหล่านี้จากประสบการณ์ของเธอเองขณะเดินทางไปแสดงสดทั่วโลกในปี 2008-2009

สไตล์เพลงของอัลบั้มนี้เป็นป๊อปแนวทดลอง ที่ผสมผสานจังหวะดนตรีอินดัสเตรียลและโกธิก เข้ากับท่วงทำนองแบบเพลงเต้นรำยุค 90 โดยมีเนื้อเพลงเป็นแนวป๊อปโศกเศร้ายุค 80 คละเคล้าเข้ากับแรงบันดาลใจที่ เลดี้ กาก้า ได้มาจากสีสันในวงการแฟชั่น

      อัลบั้มนี้ทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 6 สาขารางวัล สามารถขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งด้วยซิ้งเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้ม คือ  Bad Romance  ซึ่งบทเพลงเป็นเนื้อหาที่สะท้อนการหวาดกลัวความรักของเธอ  ผลงานอัลบั้มต่อๆมาของเธอก็จะมี  Born this way (2011) , Artpop (2013) , Joanne (2016) ซึ่งต่างก็ได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน

      นอกจากความสามารถเรื่องดนตรีแล้ว  Gaga ยังจัดเต็มกับแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้าผม ที่สื่อและคนทั่วไปต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยเมื่อเธอจะปรากฎตัวตามสถานที่ต่างๆ   Gaga เธอสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูโดดเด่นไปจากศิลปินอื่นๆ  แม้บางมุมอาจมองว่าเธอเป็นคนเสียสติ แต่งตัวเกินความงามและลิมิตของมนุษย์ทั่วไป  แต่กลับกัน ความเสียสติ แปลกแหวกแนวนี้  สร้างความโดดเด่นเป็นที่รู้จักให้เธอเป็นอย่างมาก  แม้กระทั่งนักวิจารณ์ด้านแฟชั่นบางคนอย่างยกให้ Gaga เป็นเจ้าแม่แห่งวงการแฟชั่น และให้การแต่งตัวของเธอเป็นแรงบันดาลใจทุกครั้ง โดยเฉพาะในงาน MTV Vma 2010 Gaga  ปรากฏกายในชุดเนื้อสด ที่สร้างความประหลาดใจไปทั่วโลกครับ

 

 

Tim Burton

 

 

      ผู้กำกับสุดแนว กับผลงานที่มีสไตล์โดดเด่นเฉพาะตัวอย่าง  Tim Burton  ถ้าใครได้เห็นใบปิดของหนังก็จะรู้ว่า เป็นผลงานของเขาอย่างแน่นอน

      เบอร์ตันเริ่มการวาดเขียนตั้งแต่เขาอายุยังน้อย และได้เข้าเรียนที่สถาบัน คาล อาร์ต อินสติติวท์ ในเรื่องของ ดิสนีย์   ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าร่วมงานในสตูดิโอในหน้าที่นักวาดการ์ตูน   เขาได้เริ่มงานการกำกับการแสดงในภาพยนตร์การ์ตูนสั้นเรื่อง Vincent ซึ่งให้คำบรรยายโดย วินเซนต์ ไพร์ซ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสำเร็จและการกล่าวถึงเป็นอย่างมาก  ผลงานโปรเจ็คภายในของเบอร์ตันเรื่องต่อมาของเขาคือภาพยนตร์เรื่องสั้น แนวแอ๊คชั่นชื่อว่า เรื่อง Frankenweenie ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและการกลับตาละปัดของตำนาน Frankenstein

      ผลงานภาพยนตร์สวยๆและเป็นที่รู้จัก อาทิ

      edward scissorhands, Big Fish, charlie and the chocolate factory , big eyes , sweeney todd

 

      นอกจากหน้าที่ผู้กำกับแล้ว  Burton  เขาเป็นนักวาดภาพฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งเลยทีเดียว  ผลงานการสร้างสรรค์ศิลปะของเบอร์ตัน เป็นการวาดภาพโดยใช้อุปกรณ์อย่าง ดินสอ หมึก สีน้ำ ดินสอสี ปากกาเน้นข้อความ มาละเลงไอเดียสุดบรรเจิดของเขาลงบนกระดาษ   อาทิ

 

Edward Scissorhands: ผลงานในปี 1990

 

The World of Stainboy: ผลงานในปี 2000

 

Alexander McQueen

 

      สำหรับใครที่ทำงานอยู่ในวงการแฟชั่นหรือมีความชอบในแฟชั่น อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน (Alexander McQueen) คือชื่อหนึ่งที่ทุกคนจะเห็นด้วยว่า เขาคืออีกหนึ่งบุคคลที่ปฏิวัติและขยายขอบเขตของวงการแฟชั่นในด้านความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

      แม็กควีนเองได้รังสรรค์แฟชั่นโชว์ที่น่าจดจำไว้มากมายจนนับไม่ถ้วน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานในโชว์ที่ตระการตาและผลักดันความฝันให้คนคิดไปให้ไกลขึ้น เราจะเห็นได้จากการใช้โฮโลแกรม ของนางแบบ เคต มอสส์ (Kate Moss) ในคอลเล็กชัน Fall 2006 ที่ใช้ชื่อว่า Widows of Culloden

 

 

      ส่วนอีกหนึ่งโชว์ที่กลายเป็นโชว์สุดท้ายที่เราจะได้เห็นแม็กควีนบนรันเวย์ คือคอลเล็กชัน Spring 2010 ที่ใช้ชื่อว่า Plato’s Atlantis ที่มีกล้องหุ่นยนต์สองตัวดัง Transformer มาถ่ายไลฟ์สตรีมอยู่บนเวที ซึ่งโชว์ก็จบด้วยเพลง Bad Romance ของ Lady Gaga ที่ถูกปล่อยเป็นครั้งแรก เราจะได้เห็นว่าแม็กควีนไม่ได้เป็นแค่ดีไซเนอร์ แต่ยังเป็นนักคิดสร้างสรรค์ตัวจริงที่คิดทุกอย่างแบบ 360 องศา และต้องการให้ทุกโชว์สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่สำหรับโลกแฟชั่นก็ว่าได้

 

 

      เขาคือดีไซเนอร์ที่สร้างเส้นทางของตัวเองอย่างชัดเจน แม้ทุกวันนี้เขาจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ดีไซเนอร์หลายคนยังคงได้แรงบันดาลใจจากผลงานของแม็กควีนอยู่เสมอ

 

 

Kusama Yayoi

 

 

      Kusama Yayoi  เป็นศิลปินชาวญี่ปุ่นเธอเกิดที่ Matsumoto ในปี 1929 เธอเริ่มต้นเส้นทางการออกแบบลายจุดมาตั้งแต่เธออายุเพียง 10 ปีเท่านั้น ซึ่งเธอเริ่มต้นฝึกฝนและเรียนรู้เป็นเวลา 10 ปีที่ the Kyoto School of Arts จากนั้นไม่นานเธอก็ย้ายไปอยู่ที่ New York ในปี 1958 และด้วยความทะเยอทะยานบวกกับความพยายามของเธอ เธอจึงกลายเป็นคนเอเชียคนแรกที่ไม่ใช่คนอเมริกาที่มีผลงานโด่งดัง

      Kusama Yayoi  หลายคนคงไม่รู้จักเธอ แต่เมื่อบอกว่าเธอเป็นผู้ทำให้ลายจุด “Dot Infinity” ฮิตฮอตไปทั่วโลก หลังจับมือกับแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton ออกแบบคอลเลคชั่นพิเศษที่มีชื่อว่า “Louis Vuitton – Yayoi Kusama” ที่นำเอกลักษณ์งานศิลป์ของเจ้าแม่ลายจุดมาตีความใหม่และถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานแฟชั่นสุดไฮโซ

 

.

      จุดเด่น การสร้างสรรค์ผลงาน Kusama Yayoi   ก็คือการมองเห็นอะไรรอบข้างเป็น “จุดจุด” การเห็นอะไรเป็น “จุดจุด” แบบนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สวรรค์มอบให้เธออย่างตั้งใจ เพราะ สิ่งที่เรามองเห็นผ่านผลงานของเธอ คือ สิ่งที่เธอมองเห็น ในชีวิตประจำวันของเธอเอง กล่าวคือในสายตาของเธอ เวลาเธอมองไปรอบๆ ก็เห็นเป็น “จุดจุด”เต็มสายตาไปหมด เรื่องจริงคือ นั่นเป็น อาการผิดปกติทางสมอง ทางจิตประสาทแบบหนึ่ง และทางการแพทย์ก็จำแนกว่าเป็นอาการของ “คนบ้า” จำพวกหนึ่ง

      นอกจากนี้ ยาโยอิ คุซามะ ยังทำงานอย่างอื่น ร่วมอีกด้วย นั่นก็คือ เขียนหนังสือ เขียนนิยาย วรรณกรรม โคลงกลอน บทกวี เรียกได้ว่า เธอคืออาร์ตตัวแม่ เธอสร้างสรรค์งานศิลปะ ออกมาทุกมิติ เท่าที่เธอทำได้

 

 

Zaha hadid

 

      Zaha Hadid หรือ Zaha Mohammad Hadid สถาปนิกชาวอังกฤษเชื้อสายอิรัก ในปี 2004 เธอถือเป็นสถาปนิกหญิงคนแรกและชาวมุสลิมคนแรกของโลกที่ได้รับ Pritzker Architecture Prize รางวัลอันทรงเกียรติยศสูงสุด เปรียบได้กับรางวัลโนเบลทางสถาปัตยกรรม และเธอได้กลายเป็นผู้หญิงคนแรกของโลกอีกครั้งกับรางวัล Royal Gold Medal 2016 รางวัลเหรียญทองจาก RIBA ด้วยผลงานการออกแบบอาคารที่โดดเด่นของเธอ

      เส้นทางที่จะพา Zaha Hadid ไปสู่เป้าหมายไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่มีดอกกุหลาบโปรยรอไว้ตามทาง เธอต้องฝ่าฝันและต่อสู้เรื่องของแนวคิด อุดมการณ์ ความเชื่อ โดยเธอเกิดในประเทศอิรักและได้อพยพมาอยู่ประเทศอังกฤษเนื่องจากสงครามในตอนนั้น เธอค่อยๆ เรียนรู้และพาตัวเองเข้าไปสู่วงการออกแบบจากการเลือกเรียนด้านสถาปัตยกรรมแม้ว่าจะโดนคัดค้านจากครอบครัวก็ตาม

      Zaha Hadid เป็นสถาปนิกสไตล์ Neofuturistic ผลงานของเธอจึงเป็นงานแนวดีคอนสตรักติวิสซึม(Deconstructivism) ที่ให้ความรู้สึกแบบ Futuristic โดยเธอเป็นคนแรกๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ และใช้อัลกอริทึ่มทางคณิตศาสตร์มาเป็นตัวแปรในการสร้างฟอร์มและทำให้เป็นรูปทรงต่างๆ ทางสถาปัตยกรรม เราจึงได้เห็นรูปฟอร์มที่หวือหวา และมีลักษณะ Free form แตกต่างจากรูปทรงทางเลขาคณิตในอาคารทั่วๆไป โดดเด่นตรงที่สลายรูปทรงแบบปกติ ก่อให้เกิดความลื่นไหลของรูปทรง โครงสร้างที่ไม่แข็งทื่อเหมือนสิ่งก่อสร้างแบบเดิม มีความเป็นอิสระและ Dymamic บางอย่างที่ถูกแฝงอยู่ในโครงสร้างและมันก็เชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมนั้นๆ ผสานแนวทางการออกแบบตกแต่งและการใช้งานที่ลงตัว แต่แฝงไว้ด้วยความแปลกแหวกแนว และเหนือจินตนาการ สะท้อนถึงโลกอนาคตที่ใฝ่ฝัน เพราะเธอคิดว่าผู้คนเดินเข้าอาคารก็ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่มันมีความลื่นไหลและอิสระที่มากกว่าเส้นตรงทื่อๆ ทุกอย่างมี Layer และความซับซ้อน

 

      ตัวอย่างผลงานของ Zaha hadid

 

 

Glasgow Riverside Museum of Transport

      เป็นพิพิธภัณฑ์หลังคาสังกะสีรูปทรงซิกแซ็กเป็นจีบปลายแหลมแปลกตา โดดเด่นด้วยการออกแบบตกแต่งทางเข้าด้านหน้าเป็นกระจกใสเปิดโล่งให้แสงผ่านเข้ามาได้ ประตูทางเข้าส่วนหลังเป็นทางซิกแซ็กตกแต่งด้วยกระจกสีดำทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดู น่าสนใจ และทรงพลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไคลด์ (Clyde) เมืองกลาสโกว์ เมืองใหญ่ที่สุดในสก็อตแลนด์ ไว้จัดแสดงประวัติความเป็นมาของการคมนาคมในสก็อตแลนด์ ไม่ว่าจะทางเรือ รถไฟ รถยนต์ หรือเครื่องบิน ซึ่งภายในเต็มไปด้วยรถ และรถไฟโบราณ จักรยาน สเก็ตบอร์ด ที่เปิดให้ทุกคนเข้าชมครับ

 

 

City of Dreams’ Hotel Tower, Macau, China

      2 ตึกนี้เป็นโรงแรม ที่เชื่อมต่อกันในชั้นบน และชั้นล่าง บนพื้นที่ 150,000 ตารางเมตร ความจุ 780 ห้อง มีทั้งห้องสวีท และเพ้นท์เฮ้าส์ นอกจากนี้ยังมีห้องสัมมนา, คาสิโน, ล็อบบี้,ร้านอาหาร,สปา และ สระว่ายน้ำด้านนอก พร้อมทั้งลิฟท์ชมวิวแบบพาโนราม่าเพื่อให้ชมวิวมาเก๊าได้จากด้านบนของตึก  ตึกนี้เริ่มสร้างในปี 2013 และเสร็จสิ้นต้นปี 2017 ครับ

 

 

Heydar Aliyev Cultural Center 

      อาคารศูนย์วัฒนธรรมที่การันตีด้วยรางวัล “The Design Museum Design of the Year Award” ในปี 2014 เป็นออกแบบตกแต่งสถาปัตยกรรมแบบ Curved style ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน  ใช้เป็นสถานที่ในการจัดแสดงงานนิทรรศการ และจัดงานสำคัญต่างๆ ความสวยงามโดดเด่นของที่นี่คงหนีไม่พ้นเส้นสายที่โค้งอ่อนช้อยลื่นไหลไปตามทรงของสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ครับ

 

Andy Warhol

 

      แม้เขาจะไม่ใช่ศิลปินผู้ให้กำเนิดหรือคิดค้นศิลปะแนวนี้ แต่เขาก็เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ศิลปะแนวนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในโลกจวบจนถึงปัจจุบัน ตัวเขาเองก็ศิลปินป๊อปอาร์ตที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาศิลปินป๊อปด้วยกัน จนถูกขนานนามว่าเป็น “เจ้าพ่อป๊อปอาร์ต” เลยทีเดียว ผลงานของเขาถูกพบเห็นได้แทบจะทุกหนแห่ง ถูกต่อยอด เลียนแบบ ทำซ้ำมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งในงานโฆษณา หนัง โทรทัศน์ หนังสือ นิตยสาร สินค้า ไปจนถึงเสื้อผ้า ของแต่งบ้านและไลฟ์สไตล์ มันถูกพบเห็นได้แทบทุกหนแห่ง

 

 

      เมื่อหยิบเอาภาพถ่ายของเหล่าบรรดาดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นอย่าง มาริลิน มอนโร, เอลวิส เพรสลีย์, อลิซาเบธ เทย์เลอร์, มิก แจ็กเกอร์, เจมส์ ดีน, แจ็กเกอลีน เคนเนดี้  ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาหลงใหลได้ปลื้ม มาถ่ายทอดด้วยสีสันฉูดฉาดบาดตาแบบเดียวกับงานโฆษณาและลีลาแบบคอลัมน์กอสซิบดาราในหนังสือพิมพ์ ผนวกกับเทคนิคภาพพิมพ์ซิลค์สกรีน ชื่อเสียงของ แอนดี้ วอร์ฮอล จึงเริ่มโดนใจคนจำนวนมากและกลายเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วทั้งวงการศิลปะในที่สุด ปัจจุบันภาพวาดเซเล็บของวอร์ฮอลเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นป๊อปไอคอนที่ถูกจดจำมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเซ็กส์ซิมโบลอย่าง มาริลิน มอนโร ที่ใครๆ ก็ต้องเคยเห็นและรู้จัก

 

 

      กล่าวถึงเหตุผลที่เขาสร้างผลงานชุดที่โด่งดังและเป็นที่จดจำมากที่สุดชิ้นหนึ่งของเขาขึ้นมา นอกจากจะเป็นอาหารโปรดของเขาแล้ว ภาพกระป๋องซุปแคมเบลล์ที่ถูกวางเรียงรายกันอย่างสวยงามบนชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตที่เขาเคยเห็นเป็นประจำยังติดตาตรึงใจจนเขาต้องถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบและบังเอิญไปเตะตานักค้างานศิลปะและเจ้าของแกลเลอรีอย่าง เออร์วิง บลัม จนอดไม่ได้ต้องเอามาแสดงในแกลเลอรี Ferus  ของเขาในลอสแองเจลิสเมื่อปี 1962 แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าไหร่นักจากผู้ชมงานและบรรดานักวิจารณ์ศิลปะ

      มีเพียงไม่กี่คนที่สนใจซื้อภาพเขียนของวอร์ฮอล ไปในราคาเพียงภาพละ 100 ดอลล่าร์ จนกระทั่งวันสุดท้ายของการแสดง เออร์วิง บลัม เจ้าของแกเลอรี่ ก็ตัดสินใจซื้อภาพเขียนที่เหลือของวอร์ฮอลไว้เองทั้งหมดในราคาเหมาจ่าย เพียง 1,000 ดอลล่าร์ โดยไม่รู้อาจล่วงหน้าเลยว่า อีกหลายปีต่อมาหลังจากที่ แอนดี้ วอร์ฮอล เสียชีวิตไปแล้ว ภาพเขียนชุดกระป๋องซุปที่ไม่มีใครต้องการเหล่านี้ จะกลายเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่ถูกหมายปองมากที่สุดจากนักค้างานศิลปะ หอศิลป์ และพิพิธภัณฑ์ชั้นนำทั่วโลก และมีราคาประมูลสูงกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียวครับ

 

Stephen King

      สตีเฟน คิงก์ ชายผู้นี้คือตำนานนักเขียนของโลก เขาได้รับการจัดอันดับเป็นนักเขียนผู้มีรายได้จากงานเขียน เป็นอันดับ 3 ของโลกเป็นรองเพียง เจ.เค.โรว์ลิง กับ เจมส์ แพตเตอร์สัน แต่ว่าในว่าอนาคต เขาน่าจะเอาชนะ 2 คนนี้ได้ไม่ยากนัก เพราะว่าเขามีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง นับวันงานเขียนของเขา ก็ยิ่งขายดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าพูดถึงเฉพาะในวงการนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ   ก็ถือได้ว่าเขาคือมือหนึ่งของโลก เลยก็ว่าครับ

      สตีเฟน คิงก์  ประสบปัญหาครอบครัวตั้งแต่เด็ก เขามักจะฝันว่าแม่นอนอยู่ในโลงศพ ส่วนตัวเองก็ถูกแขวนคออยู่บนตะแลงแกง มีอีกามากมายรุมจิกดวงตาของเขา ในยามตื่น เขามีอาการหวาดระแวง กลัวความตาย กลัวแม้กระทั่งตัวตลก เมื่อโตขึ้น เขาพบว่าวิธีเดียวที่จะจัดการกับอาการหลอนเหล่านี้คือ เขาต้องเขียนมันออกมา

ในช่วงปี 1980 เขาประสบปัญหาติดเหล้าและติดยาอย่างหนัก สตีเฟน คิงก์  เคยเล่าว่า ร่างกายและสมองของเขาเสียหายหนักจากการติดเหล้าและยา จนทุกวันนี้เขาจำผลงานที่ตัวเองเขียนในช่วงนั้นบางเล่มไม่ได้ด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ สตีเฟน คิงก์  คิดจะฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เขากลับมาเดินทางสว่างได้อีกครั้งก็คือครอบครัว ลูกและภรรยาคือสิ่งที่ สตีเฟน คิงก์  ไม่อยากสูญเสียไป

ตัวอย่างผลงาน

IT

      สุดยอดนิยายของ สตีเฟน คิง ที่นักอ่านส่วนใหญ่ชื่นชอบและยกย่องให้เป็นผลงานเรื่องที่ดีที่สุด

      บรรยากาศและอารมณ์ของหนังมันอึมครึม ครึ้มฝน และปนเศร้าอยู่ตลอด และที่สำคัญคือ “เพนนีไวส์” ปีศาจร้ายประจำเรื่อง ที่สร้างความหลอนได้ตลอดทั้งเรื่อง เพราะมันมาได้ทุกที มาได้ในทุกรูปแบบ และมันรู้ด้วยว่าเรากลัวอะไรที่สุด ดังนั้นหนังทั้งเรื่องแม้จะมีปีศาจตัวเดียว แต่เราจะได้เห็นความสยองมาในหลากหลายเวอร์ชั่นครับ

Under the dome

 

 

      ละครทีวียอดฮิตของอเมริกา เรื่องราวที่ อยู่ดีๆ เมืองทั้งเมืองก็ถูกครอบด้วยโดมแก้วใส โดยไม่ทราบสาเหตุ ประกอบกับ สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ได้เกิดขึ้นในโดมแห่งนี้ ทำให้เกิดเรื่องราวที่น่า พิศวง และน่าติดตาม จนไม่อาจจะหยุดดูได้เรื่องนี้ สตีเฟน คิงก์  เป็นมือเขียน และร่วมกำกับ จึงทำให้ Under the dome กลายเป็นละครทีวีเรื่องเยี่ยมที่ได้รับเรทติ้งถล่มทลาย

      กว่าที่ใครคนหนึ่งจะเป็นศิลปินได้ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  มีทั้งลองผิดลองถูก จากพรสวรรค์และความมุ่งมั่นของตัวเอง จนทำให้ได้เป็นศิลปินที่สร้างชื่อเสียงให้กับโลกในทุกวันนี้   สำหรับใครที่อยากสร้างผลงานดีๆ ก็ขอให้ทุ่มเทกับมันแล้วสักวันคุณอาจจะได้เป็นศิลปินที่มีเสียงของโลกก็เป็นได้นะครับ

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

marumura.com

wurkon.com

hollywood-hdtv.com

lifestyletoast.com

pinterest.com