พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต_BANNER

              ช่วงนี้ดูเหมือนว่าศิลปวัฒนธรรมและเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กำลังฟีเวอร์สุด ๆ !!! จริงไหมคะออเจ้าทุก ๆ ท่าน (ขออภัยที่ Karuntee อินกับละครไปหน่อยเจ้าค่ะอิอิ^^) เอ๋… แต่จะว่าไปคงเป็นเพราะประวัติศาสตร์มีความน่าสนใจและบ่งบอกความสำคัญของแต่ละยุคสมัยได้ จนทำให้มนุษย์คิดรวบรวมวิถีชีวิตความเป็นมาของคนรุ่นเก่าไว้ในที่เดียวกัน โดยเราเรียกกันว่า “พิพิธภัณฑ์” นั่นเองค่ะ

              ซึ่ง “พิพิธภัณฑ์” นั้น ก็มีด้วยกันหลายรูปแบบ ทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะ พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เป็นต้น แต่ในบทความนี้ Karuntee จะพาแฟน ๆ บาริโอไปรู้จักกับพิพิธภัณฑ์แห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่เพียงแค่แหล่งเก็บสะสมวัตถุโบราณ แต่เต็มไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่ยังมีชีวิต เรียกง่าย ๆ ก็คือ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ค่ะ

              แล้วพิพิธภัณฑ์มีชีวิตมันเป็นอย่างไรกันนะออเจ้า? มันก็คือพิพิธภัณฑ์ที่แสดงในบริเวณกว้าง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง” ซึ่งการเรียกชื่อสามารถสลับใช้กันได้ โดยมีจุดหมายเหมือนกันคือ เน้นวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และประวัติศาสตร์ โดยจุดแตกต่างในแนวคิดของชื่อคือ พิพิธภัณฑ์มีชีวิตจะเน้นวิถีชีวิตและกิจกรรมของชุมชนเป็นส่วนประกอบของระบบมากกว่า ส่วนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่จะเน้นไปที่สิ่งก่อสร้างและอาคาร

              ถ้าเข้าใจความหมายกันพอสังเขปแล้ว คราวนี้เราไปดูกันว่ามีพิพิธภัณฑ์ไหนที่เข้าข่าย “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” บ้าง….

  1. พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกลางแจ้งเอโดะโตเกียว (Edo-Tokyo Open Air Architectural Museum), ประเทศญี่ปุ่น

Cr. japonca.com.tr , ロケットニュース24

              เริ่มจากประเทศที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่หลากหลายน่าสนใจอย่างญี่ปุ่น พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกลางแจ้ง Edo-Tokyo (เอโดะโตเกียว) เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง ที่สามารถเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นเมื่อครั้งโบราณได้เป็นอย่างดี โดยภายในพิพิธภัณฑ์จะประกอบด้วยตึกประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ย้ายมาจากพิพิธภัณฑ์เอโดะโตเกียวเดิม และสร้างตึกที่เหมือนกับในสมัยเอโดะ ถึงช่วงต้นสมัยเมจิขึ้นใหม่กว่า 30 ตึก จัดแสดงไว้เพื่อสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญไปยังรุ่นต่อไป

              โดยตึกต่าง ๆ ที่จัดแสดงโชว์ภายในพิพิธภัณฑ์นั้น จะเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนตั้งแต่งสมัยเมจิไปจนถึงสมัยโชวะ และภายในยังมีศูนย์กลางนักท่องเที่ยวและหลุมฝังศพยุคเอโดะ มีเขตตรงกลางซึ่งสามารถเห็นได้ทั้งตึกพระราชวังเมจิและไทโช และสุดท้ายฝั่งตะวันออกเป็นตึกช่วงปลายสมัยเอโดะ จนถึงช่วงต้นสมัยเมจิ

              นอกจากนี้ยังแสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนยุคนั้นว่าเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน (การกินบะหมี่) ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ได้จำลองร้านบะหมี่ขึ้นมาและให้ผู้เยี่ยมชมทดลองทำบะหมี่กินเองได้ แถมภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายให้คุณได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตสมัยเอโดะของชาวญี่ปุ่นอีกมากมาย ที่สำคัญหากใครอยากสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นแบบถึงแก่น เขามีชุดยูกาตะให้เช่าด้วยนะคะ รับรองเข้าถึงใจถึงอารมณ์กันอย่างแน่นอน

Cr. whereintokyo.com

  1. พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งสกันเซน (SKANSEN), ประเทศสวีเดน

Cr. incomartour.com.ua

              พิพิธภัณฑ์สกันเซนในประเทศสวีเดน เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกในโลก ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1891 ระหว่างยุคที่สวีเดนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม เนื่องจาก Artur Hazelius ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เริ่มกังวลว่ารูปแบบของประเพณี วัฒนธรรม รวมถึงสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ จะเริ่มจางหายไป เขาจึงได้ตัดสินใจสร้าง Skansen ขึ้นมา และรวบรวมอาคาร สถานที่จากที่แห่งต่าง ๆ ทั่วสวีเดนมาไว้ที่นี่ บวกกับบางส่วนถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากนั้นก็จ้างคนมาอยู่อาศัย มาทำกิจกรรมต่าง ๆ ในอาคารให้ผู้เข้าชมดู (เช่น เป่าแก้ว ทำเครื่องหนัง ทำหนังสือ ขายยา ฯลฯ) เพื่อเป็นการสืบถอดให้วัฒนธรรมนั้นคงอยู่ต่อไป


Cr. stockholmfreetour.com

              เพราะเหตุนี้ เพียงแค่ไปที่ Skansen แห่งเดียว ก็จะสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวสวีเดนได้แทบทั้งหมดเลยค่ะ เพราะที่นี่ได้รวบรวมบ้านเก่าแก่ในยุคสมัยก่อน จากภาคเหนือสุดจรดใต้มาไว้ เพื่อใช้เป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนของคนสวีเดนในยุคก่อน ซึ่งพิพิธภัณฑ์ได้จำลองวิถีชีวิต บ้านเมือง ผู้คน สิ่งแวดล้อม ตลอดจนวัฒนธรรมเก่า ๆ มาไว้ให้เราได้ชมกันมากมาย นอกจากนี้ใครที่ชื่นชอบการดูสัตว์น้อยใหญ่ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้แบ่งส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ของ Stockholm Zoo ที่รวบรวมสัตว์ท้องถิ่นในสวีเดนมาให้ชมกันอย่างเพลิดเพลินอีกด้วยค่ะ

  1. พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม (GOREM), ประเทศตุรกี

  

Cr. davidsbeenhere.com

              พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม ตั้งอยู่ที่เมืองคัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วงคริสต์ศักราชที่ 9 สร้างขึ้นจากการที่ชาวคริสต์มีความต้องการที่จะเผยแพร่ศาสนาจึงได้รวมกำลังกันขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์ และไว้ป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์

              ภายในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ มีโบสถ์และอาคารต่าง ๆ ที่ทำขึ้นมาจากหินทั้งก้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งถูกแบ่งการใช้งานที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสอนศาสนาสำหรับผู้หญิงที่มีชั้นล่างสร้างเป็นห้องครัว ห้องสวดมนต์ และบางส่วนถูกใช้เป็นห้องเรียน ในขณะที่ด้านหลังถัดไปอีกเขาเป็นโรงเรียนสำหรับผู้ชาย โดยบริเวณนี้มีโบสถ์ที่เหล่านักท่องเที่ยวสนใจเยี่ยมชมกันหลายแห่งเลยค่ะ เช่น โบสถ์แอปเปิ้ล (Apple Church)  ที่ภายในโบสถ์มีรูปภาพเฟรสโก้ หรือภาพวาดบนฝาผนังซึ่งเล่าเรื่องชีวิตของพระเยซู ภายในมีเพดานโดมสองโดมด้วยกัน แต่ละโดมมีการเขียนภาพวาดบนผนังที่แตกต่างกัน โดมแรกเป็นภาพใบหน้าของพระเยซู และอีกหนึ่งโดมเป็นเป็นภาพวาดของเทวดาหรือวัตถุทรงกลม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นผลแอปเปิ้ล จึงนำมาตั้งเป็นชื่อโบสถ์ตามภาพวาดที่วาดไว้นั่นเองค่ะ และอีกโบสถ์ที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันก็คือโบสถ์เซนต์บาราบาร่า St.Barbara Church ที่มีภาพเฟรสโก้เช่นเดียวกัน ภายนอกโบสถ์เหล่านี้ยังมีโบสถ์เล็ก ๆ ล้อมรอบ สวยงามสมจริงแต่เหมือนถูกดูดเข้าไปในโลกการ์ตูนมนุษย์หินฟริ้นสโตนเลยล่ะ (ฮ่าฮ่า)  เรียกได้ว่าการเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเมนอกจากจะได้ประจักษ์ถึงความงามของสถาปัตยกรรมจากก้อนหินที่มนุษย์ยุคโบราณสร้างขึ้นมาแล้ว คุณยังได้เรียนรู้ความเป็นมาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์จากภาพวาดต่าง ๆ ได้อีกด้วยค่ะ

Cr. google.com.tr

  1. พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนูฮอเซ็น (Freilichtmuseum Neuhausen ob Eck), ประเทศเยอรมนี

Cr. reiseknipse.de , Ecosia

 

              พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนูฮอเซ็น หรือ พิพิธภัณฑ์ชีวิตชาวนา ในประเทศเยอรมนี เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่เปรียบเสมือนหมู่บ้าน ซึ่งเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาในเยอรมนีได้เป็นอย่างได้ อีกทั้งยังมีการจัดแสดงเครื่องใช้อุปกรณ์การทำมาหากินของชาวนาด้วย

              หมู่บ้านพิพิธภัณฑ์ชีวิตชาวนา รวบรวมสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ มาไว้ในทีเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ภัตตาคาร โรงเรียน ศาลากลาง และสถานที่ประกอบอุตสาหกรรมพื้นบ้าน เช่น โรงเลื่อยและกังหันน้ำ โดยอาคารและตึกต่าง ๆ นั้นได้ทำการย้ายและรื้อถอนมาจากบ้านชาวนาเก่า ๆ จากเขตป่า Black Forest ป่าสนซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางด้านตะวันตกของประเทศ และนำมาประกอบสร้างใหม่ เพื่อจัดแสดงให้คนรุ่นหลัง ๆ ได้ชมกัน

              ในส่วนของการตกแต่งภายในก็คงไว้เช่นเดิมจากที่ที่เคยนำมาไม่เปลี่ยนแปลง ประชาชนที่เข้าชมจึงสามารถเก็บรายละเอียดความรู้จากที่นี่ได้อย่างครบถ้วน โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงพื้นที่นั้น ๆ ส่วนสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ที่นำมาเลี้ยงนั้นมีตั้งแต่ วัว ลา หมู แกะ แพะ ไก่ ห่าน กระต่ายบ้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นพันธุ์ที่นำมาจาก Black Forest ค่ะ ที่พิพิธภัณฑ์ชีวิตชาวนาแห่งนี้ ถูกจำลองให้มีชาวนาใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่นี้จริง ๆ เราจึงได้เห็นงานฝีมือ อุปกรณ์ เครื่องจักรเครื่องกลที่ชาวนาในสมัยก่อนใช้กันเหมือนจริงทั้งหมดค่ะ

Cr. bodensee.eu , landmuseen.de

  1. พิพิธภัณฑ์บีมิช (BEAMISH MUSEUM), ประเทศอังกฤษ

Cr. wikimedia.org

              พิพิธภัณฑ์บีมิช หรือ The living Museum of the north  เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของดินแดนทางเหนือประเทศอังกฤษ ซึ่งได้จำลองการใช้ชีวิตในอดีตของผู้คน และจัดแสดงเหมือนว่าทุกคนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคก่อนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะบ้านเรือน ร้านค้า พาหนะ และผู้คนที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในสิ่งปลูกสร้างรูปแบบเก่า ซึ่งพื้นที่โดยรวมของพิพิธภัณฑ์มีประมาณ 300 เอเคอร์ หรือเกือบ ๆ 760 ไร่ในเขตชนบทของเมืองเดอแรมนั่นเองค่ะ

Cr. Cool Places

              สำหรับใครที่ต้องการไปเที่ยว ด้วยพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง ทางพิพิธภัณฑ์จึงได้มีบริการรถโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นรถราง รถบัส ที่มีบริการในเขตต่าง ๆ โดยจะมีคำอธิบายการใช้อยู่บนป้ายรถแต่ละจุดที่จะจอดรับผู้โดยสาร ซึ่งเมื่อเข้าไปคุณจะได้พบกับโซนสำคัญ ๆ เช่น โซน Pockerley Waggonway ที่แสดงถึงยุคสมัยเริ่มต้นการใช้รถไฟ เป็นการใช้รถจักรไอน้ำมาช่วยในการลากพาหนะ และจำลองการขนส่งถ่านหินที่นำมาใช้ โดยจะมีอู่ซึ่งเก็บตัวรถจักร และมีช่างที่ทำงานอยู่ภายใน ส่วนด้านหน้าก็มีกองถ่านหิน และมีรางที่เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่น ๆ ของเมือง

              ถัดมาคือโซน Georgian Landscape บริเวณอาคารก่อสร้างที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้า และมีรั้วที่กั้นบริเวณทางเดินเอาไว้อย่างดี ให้บรรยากาศอิงลิชคันทรีได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีโซน Pockerley Old Hall ซึ่งจะเป็นในส่วนการจัดแสดงของบ้านที่พักอาศัยของชาวจอร์เจียนในพื้นที่แทบชนบทนั่นเอง แถมยังมีวิถีชีวิตต่าง ๆ ที่น่าติดตาม เช่น การเลี้ยงม้า แกะ การให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองใช้ชีวิตในยุคนั้นด้วยค่ะ

Cr. tripadvisor.com

  1. เมืองโบราณ, ประเทศไทย

Cr. mimtravel.net

              “เมืองโบราณ” (Ancient City) จังหวัดสมุทรปราการ ขอไทยแลนด์ส่งเข้าประกวดบ้างค่ะออเจ้า (ฮ่าฮ่า) มาที่นี่ที่เดียวเหมือนเที่ยวได้ทั่วไทยเลยล่ะค่ะ เพราะที่นี่เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยกินพื้นที่ไปมากกว่า 800 ไร่ และถือเป็นแหล่งรวมสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมไทยพื้นบ้านมาไว้ในที่เดียวกัน โดยเฉพาะสถานที่สำคัญ ๆ โดยแบ่งพื้นที่ตามภูมิภาค เช่น ภาคเหนือคุณจะได้เห็น “วัดภูมินทร์” วิหารจตุรมุขสำคัญของจังหวัดน่าน ซึ่งภายในประดับด้วยภาพปู่ม่านย่าม่านอยู่ นอกจากนี้ยังมี “วัดจองคำ” อาคารไม้สักทั้งหลังที่เชื่อมต่อวิหาร ศาลา และกุฏิ ไว้ในอาคารเดียว เรียกได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามและหาชมได้ยาก ในส่วนของภาคอีสานมี “พระธาตุพนม” พระธาตุจำลองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองจังหวัดนครพนม

              และไฮไลท์เด็ดที่นักท่องเที่ยวไทย รวมถึงต่างชาติต่างไม่ควรพลาดก็คือ บริเวณพื้นที่ส่วนภาคกลาง ไม่ว่าจะเป็น “พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท” พระที่นั่งสำคัญในสมัยอยุธยาที่เหลือเพียงซากของฐานพระที่นั่งให้ได้ชมกัน (ทั้งนี้เมืองโบราณได้ทำการค้นคว้าข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จากนั้นจึงสร้างขึ้นใหม่ให้มีความงามใกล้เคียงต้นแบบมากที่สุด) ในขณะเดียวกันยังมีอีกจุดสำคัญก็คือ “พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” ที่ออกแบบได้เหมือนกับของจริงได้อย่างวิจิตรงดงาม อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของแต่ละจังหวัดมารวมไว้ในที่เดียวกันด้วย เช่น เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัดมหาธาตุสุโขทัย พระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช พระบรมธาตุไชยา ฯลฯ โดยสร้างให้มีขนาดเล็กลง บางแห่งเทียบเท่าแบบของจริงเลยก็มีค่ะ

              ต้องบอกเลยว่านอกจากความสวยงามอลังการแล้ว บรรยากาศภายในเมืองโบราณยังดูอบอุ่น ร่มรื่น เย็นสบาย ด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกไว้ทั่วพื้นที่สำหรับให้ร่มเงาผู้เข้าชม เหมาะแก่การเดินทอดน่องชมแบบชิล ๆ แต่ถ้ากลัวว่าจะใช้เวลาทั้งหมดไม่เพียงพอในหนึ่งวัน เขามีบริการให้เช่าจักรยานสำหรับปั่นชมด้วยนะคะ หรืออยากชมแบบสบาย ๆ แนะนำให้นั่งรถรางค่ะ ที่ด้านในมีบริการไม่ขาดสาย แถมมีพนักงานประจำรถคอยเป็นไกด์แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ด้วย ส่วนใครที่กลัวไม่ทันใจ ไม่อยากรอใครที่นี่ก็ยังเปิดให้นำรถส่วนตัวเข้า แต่ว่าต้องเสียเงินค่านำรถเข้านอกจากเสียค่าบัตรด้วยนะคะ

Cr. mapio.net

              ใครที่อยากเห็นสถาปัตยกรรมอันประณีตงดงามแบบไทย ๆ แล้วล่ะก็ ไม่ควรพลาดค่ะ เพราะกลับออกมานอกจากความสุขใจแล้ว คุณจะได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทยอีกด้วยนะคะ

              เป็นเยี่ยงไรกันบ้างออเจ้า…แต่ละสถานที่ที่ Karuntee พาไปนั้น น่าสนใจใช่ไหมล่ะเจ้าค่ะ เพราะไม่ใช่แค่เราได้เห็นภาพนิ่งหรือของสำคัญที่ตั้งให้ชมกันเฉย ๆ แต่พิพิธภัณฑ์มีชีวิตหรือพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนั้น ยังเหมือนดึงเราให้หลุดเขาไปในยุคนั้น ๆ ได้ แถมยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ได้อย่างดีอีกด้วย ถ้าเป็นไปได้น่าจะลองหาโอกาสไปชมด้วยตาของคุณเองจริง ๆ สักครั้งค่ะ ว่าแล้วก็ของวาร์ปไปหาเงินสักครู่นะคะออเจ้าทั้งหลาย บ๊าย…บายเจ้าค่ะ^^