สถาปัตยกรรมของพระราชวังต่าง ๆ นอกจะแสดงออกถึงความสวยงามที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังสะท้อนถึงความเป็นมาของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ได้สอดแทรกให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ วันเวลาหมุนเวียนผ่านไป ทำให้เหล่าก้อนอิฐและพื้นปูนทุกแผ่นผืน ต่างล้วนเดินทางข้ามผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ก่อเกิดเป็นคุณค่าที่น่าสนใจ เฉกเช่น พระราชวังทั้ง 3 แห่งที่เราจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมกัน…

พระราชวังแวร์ซายส์ Versailles Palace

      Bonjour ค่าา… ขอกล่าวทักทายเป็นภาษาฝรั่งกันสักนิดนะคะ ก็แหมได้มาเยือนถิ่นเมืองน้ำหอมทั้งทีนี่นา อย่างที่ทราบกันค่ะว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่น่าสนใจ และยังมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามตระการตาอย่างพระราชวังแวร์ซายส์ ที่ตั้งห่างจากกรุงปารีสมาทางทิศตะวันตกประมาณ 17 กิโลเมตร ทำให้เราต้องมาไขประวัติความยิ่งใหญ่ของพระราชวังแห่งนี้…

ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแวร์ซายส์

      หากจะให้เล่าความเป็นมาคงต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ซึ่งสมัยนั้นพระองค์ทรงโปรดการล่าสัตว์เป็นอย่างมาก และเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์แห่งนี้นี่แหละ ที่เหมาะแก่การพำนักเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดให้สร้างพระตำหนักซึ่งเป็นกระท่อมเล็กๆ เพื่อใช้พักชั่วคราว ต่อมาเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขึ้นครองราชย์ จึงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในโลก เพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งใหม่ จึงทรงรับสั่งให้ Louis Le Vau (หลุยส์ เลอ โว) สถาปนิกชื่อดังของฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบ และตกแต่งภายในพระตำหนักเดิมของพระบิดาที่ตำบลแวร์ซายส์ใหม่ทั้งหมด รวมทั้งปรับภูมิทัศน์ สวนภายในราชวัง โดยให้ใช้สีทองและหินอ่อน ซึ่งถือว่าเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนที่ Louis Le Vau จะเสียชีวิต หลังจากนั้น Jules-Hardouin-Mansart (ฌุลส์-อาร์ดูแอ็ง-มองซาต์) จึงเข้ามารับช่วงต่อ

3 จุดไฮไลท์ที่ต้องไปชมให้ได้ในถิ่นแวร์ซายส์!

–  ท้องพระโรงหรือห้องกระจก (Galerie des Glaces)

 

Cr. www.tuxboard.com

 

      สิ่งที่เห็นได้ชัดคือภาพจิตรกรรมบนเพดาน ที่ถูกบรรจงแต่งแต้มโดย Charles Le Brun (ชาร์ลส์ เลอ เบริง) ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมที่วาดขึ้นเพื่อสรรเสริญพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั่นเองค่ะ

      นอกจากนี้ยังมีการสร้างต่อเติมอีกหลายอาคาร เช่น Grand Trianon (กรองด์ ทรีอานง), Petit Trianon (เปอติต์ ทรีอานง) และโรงละครโอเปร่า ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 โดยพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายที่ประทับอยู่ในพระราชวังแวร์ซายส์ จนกระทั่งพระเจ้าหลุยส์ฟิลิปที่ 1ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ปรับปรุงพระราชวังแวร์ซายส์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ทรงเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าชมได้ จนกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาจนปัจจุบันนี้นั่นเอง เนื่องจากความกว้างใหญ่ไพศาลของพระราชวังที่มีขนาดพื้นที่ ถึง 5,500 ไร่ หากจะเดินชมกันจริงๆ คงต้องใช้เวลาทั้งวัน เรียกได้ว่าเดินจนแข้งขาล้ากันไปข้างเลยทีเดียวค่ะ

      สำหรับสถานที่ที่อยากจะแนะนำให้ไปเยี่ยมชม นอกเหนือจากพระราชวังแวร์ซายส์แล้ว ก็คือพระตำหนัก Grand Trianon

 

Cr. www.marcmaison.com

 

      เป็นอีกหนึ่งความงดงามในเขตพระราชวังแวร์ซายส์ สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนซึ่งเดิมทีในช่วงแรกก่อสร้างโดยใช้กระเบื้อง (Porcelain) แต่เกิดความเสียหายแตกหักได้ง่าย จึงได้รับสั่งให้ซ่อมแซมใหม่โดยใช้หินอ่อนสีแดงชมพู (Red Marble) ที่นำมาจากเมือง Languedoc ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสมาใช้แทน ซึ่งตำหนักนี้พระเจ้าหลุยส์ 14 ทรงใช้เป็นสถานที่พักผ่อน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย

 

Cr. www.architecturaldigest.com

 

      ตำหนักน้อยของพระนางมารี อ็องตัวเนต ( Le Petit Trianon ) ตั้งอยู่ท้ายสุดในขอบเขตพระราชวังแวร์ซายส์ เสมือนความเรียบง่ายที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ จากบันทึกของพระนางได้บอกไว้ว่า ที่นี่ให้ความรู้สึกที่ติดดิน ห่างไกลจากความหรูหราของตัวพระตำหนักแวร์ซายส์

31bcabcddb5eb9aa9429bf462a7bff54

Cr. http://awesome-images0.blogspot.com

      ด้านหลังของ petit trianon เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ( ปัจจุบันไม่มีคนอาศัยให้เพียงแค่เยี่ยมชมเท่านั้น) ลักษณะที่เห็นจะเป็นรูปแบบกระท่อมโบราณ ตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ ตั้งอยู่ท่ามกลางความสวยงามของทุ่งหญ้า ที่มองดูแล้วเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในโลกของเทพนิยายเลยล่ะค่ะ

สถานที่ต่อไปยังคงเป็นความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่าง พระราชวัง Alexander
alexander-palace-in-tsarskoye-selo

      หลังจากไปเยี่ยมชมความหรูหราตระการตาของพระราชวังแวร์ซายส์กันมาแล้ว ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเยี่ยมชมความเรียบง่ายกับศิลปะสไตล์คลาสสิกของพระราชวัง Alexander กันบ้างนะคะ

      พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองพุชกิ้น (Pushkin) ประเทศรัสเซีย สถานที่ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของโลก อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังแคทเทอรีน (Catherine Palace) หากเดินทางจาก St Petersburg โดยรถไฟจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ปัจจุบันได้ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์

ของขวัญอันทรงคุณค่าแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

 

Cr. www.saint-petersburg.com

 

      พระราชวังอเล็กซานเดอร์ ถูกสร้างขึ้นตามพระบรมราชโองการของพระนางแคทเธอรีนที่ 2 เพื่อเป็นของขวัญแต่งงานและเป็นที่ประทับของหลานชายคนโปรดอย่าง เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ กับแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ
อเล็กเซเยฟนา เริ่มก่อสร้างขึ้นปีค.ศ. 1792 เสร็จสมบูรณ์ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ.1796 โดยนาย Giacomo Quarenghi ( จีอาโคโม่ ควาเรนกี้ ) สถาปนิกชาวอิตาเลียนที่มีชื่อเสียงและมีผลงานอันโดดเด่น เขาได้ทุ่มเทกายใจในการสร้างผลงานงานนี้ให้โดดเด่นสะท้อนออกมาด้วยความเรียบง่ายในสไตล์นีโอคลาสสิก (Neoclassical) ซึ่งเป็นศิลปะที่ฟื้นฟูรูปแบบของสถาปัตยกรรมในสมัยกรีกและโรมันโบราณให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นสไตล์ที่โด่งดังและเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเขามีความประทับใจในรูปแบบสถาปัตยกรรมลักษณะ Neoclassical ที่ถูกสร้างขึ้นในฝรั่งเศสอย่างมาก…จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างศิลปะสไตล์นี้ขึ้นมา ถือได้ว่าพระราชวังแห่งนี้จัดเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของ Giacomo Quarenghi และเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของโลกด้วย ต่อมาในปี 1996 พระราชวังอเล็กซานเดอร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก

      ปัจจุบันสิ่งที่น่าสนใจของวังนี้กลับกลายเป็นเรื่องราวของ พระเจ้าจักรพรรดิซาร์นิโคลัสที่ 2 (พระจักรพรรดิองค์สุดท้ายของรัสเซีย) ซึ่งทรงใช้ที่นี่เป็นที่พำนักอาศัยอยู่กับครอบครัว ถือได้ว่าเป็นเป็นแหล่งพำนักสุดท้ายของครอบครัวราชวงศ์โรมานอฟก่อนถูกเนรเทศ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศรัสเซีย

 

ภายในพระราชวังประกอบไปด้วยห้องหับต่างๆที่มีความโอ่โถง ตกแต่งด้วยหินอ่อนอันงดงามและมีเครื่องใช้สอยมูลค่ามหาศาล

splendid-interiors-of-alexander-palace-in-tsarskoye-selo

Cr. www.saint-petersburg.com

Semi-circular hall

เป็นหนึ่งในห้องที่มีชื่อเสียงในพระราชวังอเล็กซานเดอร์ เป็นห้องที่ไว้รับรองแขกอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังไว้สำหรับจัดงานสังสรรค์เต้นรำ ตามฉากในหนังที่เรามักคุ้นตากันอยู่บ่อยๆ กับฉากเต้นรำในห้องโถง

Semi-circular hall

เป็นหนึ่งในห้องที่มีชื่อเสียงในพระราชวังอเล็กซานเดอร์ เป็นห้องที่ไว้รับรองแขกอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังไว้สำหรับจัดงานสังสรรค์เต้นรำ ตามฉากในหนังที่เรามักคุ้นตากันอยู่บ่อยๆ กับฉากเต้นรำในห้องโถง

Cr. http://tsarselo.ru/

นี่คือภาพวาดสีน้ำเมื่อราวๆ ปี 1860 .ซึ่งเป็นภาพมุมเดียวกับด้านบน

Cr. www.alexanderpalace.org/

 

The New Study (Nicholas’s Art Nouveau Reception Room)

      ห้องนี้เป็นห้องทรงงานส่วนตัวของท่านซาร์นิโคลัสที่ 2 ใช้พบปะพูดคุยกับเหล่ารัฐมนตรี ซึ่งห้องนี้จัดเป็นห้องที่ยังดูสมบูรณ์ที่สุดหลังจากผ่านกาลเวลามายาวนาน อีกทั้งยังเป็นห้องที่ท่านทรงเล่นบิลเลียดกับเจ้าชายอีกด้วย

 

Cr. http://russiatrek.org/

 

      ความงดงามของพระราชวังแห่งนี้ ถือเป็นสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าที่มากด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หากใครได้มาเยือนดินแดนหมีขาวต้องไม่ควรพลาดเชียว และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวอันน่าสนใจที่เป็นแหล่งเรียนรู้เกร็ดประวัติศาสตร์ของราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซียค่ะ

* หมายเหตุ : ขณะนี้ทางพระราชวังได้ปิดเพื่อบูรณะต่อเติม ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2015 จะเปิดให้ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้หลังจากบูรณะวังเสร็จในปี 2018 ซึ่งตรงกับโอกาสครบรอบ 100 ปีการจากไปของครอบครัวซาร์
นิโคลัสค่ะ

เรามาต่อกันที่พระราชวังแห่งสุดท้ายที่มาพร้อมกับชื่อที่ชวนน่าค้นหากับ The Forbidden Palace หรือ (พระราชวังต้องห้าม) ค่ะ

Cr. www.diffchina.com

      พระราชวังแห่งนี้ มีชื่อเรียกที่ติดปากของชาวจีนก็คือ “กูกง” ซึ่งหมายถึง พระราชวังเก่า หรือที่เราคุ้นหูว่า พระราชวังต้องห้ามนั่นเอง แค่ชื่อก็ฟังดูลึกลับน่าค้นหาอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ แต่ถ้าหากจะให้แปลตรงตัวตามภาษาจีน “จื่อ จิ้น เฉิง” นั้นจะแปลได้ว่า เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู ตั้งอยู่บนหัวใจปักกิ่ง (the heart of Beijing) นักดาราศาสตร์ชาวจีนโบราณสร้างให้ที่ตั้งนี้เป็นเครื่องหมายแห่งจักรวาล

Cr. www.thisblogrules.com

ว่าแต่เหตุใดกันนะจึงถูกขนานนามว่าพระราชวังต้องห้าม?

      ทั้งนี้ก็เพราะด้วยเหตุที่ว่าชาวจีนนั้นถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็น ‘ที่ต้องห้าม’ คนธรรมดาสามัญอย่างเราๆนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะสามารถก้าวล่วงล้ำเข้าไปได้นั่นเองค่ะ ถือเป็นข้อห้ามอันเป็นประกาศิตที่เด็ดขาด!!

The Forbidden Palace ประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่า

      เดิมทีสถานที่ตั้งแห่งนี้คือ พระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ซึ่งต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลายลง ราชวงศ์หมิงจึงขึ้นมาแทน โดยจักรพรรดิ หงอู่ ซึ่งเป็นจักพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง ได้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและทรงดำริให้รื้อถอนพระราชวังออก ต่อมาเมื่อพระราชโอรสของพระองค์จักรพรรดิหย่งเล่อได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงกลับปักกิ่งดั้งเดิม อีกทั้งยังทรงสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 1949 และได้กลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้นั่นเองค่ะ

      ต่อมาในปี พ.ศ. 2187 ได้เกิดจลาจลขึ้นทำให้พระราชวังสมัยราชวงศ์หมิงเสียหายไป และเมื่อราชวงศ์ชิงขึ้นครองอำนาจต่อ จึงได้ก่อสร้างบูรณะขึ้นมาใหม่บนฐานสิ่งก่อสร้างเดิม ทำให้พระราชวังแห่งนี้กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของจีนอีกครั้งเรื่อยมาจนถึงการล่มสลายของราชวงศ์ชิง และการเปลี่ยนมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ

 

 

โครงสร้างของพระราชวังต้องห้ามเเบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ

     – วังหน้า ซึ่งเคยเป็นที่สำหรับให้ฮ่องเต้ออกว่าราชการเเละจัดงานรื่นเริง รวมถึงการเข้าเฝ้าของขุนนาง โดยวังหน้านี้มีตำหนักที่สำคัญ อยู่ 3 ตำหนัก ได้เเก่

 

Cr. www.pinterest.com

 

      1. ตำหนักไท่เหอ เป็นตำหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของพระราชวังต้องห้าม อีกทั้งได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพระตำหนักของจีน โดดเด่นด้วยหลังคามุงกระเบื้องสีทอง ตำหนักนี้จะอยู่บริเวณด้านหน้ามีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในพระราชวังหลวงเพราะใช้เป็นสถานที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการแผ่นดิน, รับการเข้าเฝ้าจากขุนนางขุนศึก, ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและอาคันตุกะชาวต่างต่างประเทศ

 

Cr. www.flickr.com

 

      ด้านหน้าของพระตำหนักนี้จะมีรูปปั้นสิงห์ขนาบอยู่สองข้างซ้ายขวา เพื่อช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งสิงห์ที่ว่านี้จะแบ่งเป็น สิงห์ตัวเมีย สังเกตได้ว่าจะมีลูกอยู่ที่อุ้งเท้า เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองของตระกูลฮ่องเต้ ส่วนสิงห์ตัวผู้จะเหยียบลูกบอลที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้นั่นเองค่ะ

 

Cr. www.flickr.com

 

      ด้านในห้องโถงยังเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิในการว่าราชการ ซึ่งมีพระราชบัลลังก์มังกรที่ทำจากไม้หอมจันทน์สูง 2 เมตรตั้งอยู่ และพระราชบัลลังก์นี้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีราชาภิเษกอีกด้วย

 

      2. ตำหนักจงเหอ ใช้เป็นสถานที่พักรอก่อนออกว่าราชการแผ่นดิน, รับการรายงานจากข้าหลวงชั้นใน รวมทั้งพิธีการจัดงานต่างๆ

 

Cr. travels-together.blogspot.com

 

      3. ตำหนักเป่าเหอ ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรอง บรรดาหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยต่างๆทุกปี ในวันสิ้นปีของจีน พิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้หรือโอรสธิดา มาถึงในสมัยพระเจ้าเฉียนหลงก็ใช้ที่นี่เป็นสถานที่สอบจอหงวน โดยองค์ฮ่องเต้เป็นผู้ออกข้อสอบและคุมสอบด้วยพระองค์เอง

 

Cr. www.flickr.com

 

      ด้านหลังท้องพระโรงเป่าเหอ จะเจอกับบันไดแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ สลักรูปนูนต่ำเป็นรูปมังกรดั้นเมฆ 9 ตัวอย่างวิจิตร ซึ่งในอดีตถูกใช้เป็นทางเดินของจักรพรรดิเวลาเสด็จออกมาจากพระราชฐานชั้นในเพื่อว่าราชการหรือประกอบพระราชพิธีไปยังพระตำหนักชั้นนอก

 

      – วังใน เขตหวงห้ามสำหรับผู้ชาย ภายในเขตวังในนี้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ พระมเหสี เหล่านางสนมและบรรดาขันที ผู้ที่เข้าไปได้จะมีเพียงฮ่องเต้เเละเหล่าขันทีเท่านั้น กล่าวได้ว่าส่วนหลังนี้เป็นที่สำหรับฮ่องเต้กับพระชายาและเหล่านางสนมก็ว่าได้ (โอ้โห…ภาพในหนังจีนปิ๊งขึ้นมาเลยทีเดียว 555)

 

Cr. www.360doc.com

 

      ประตูเฉียนชิงเหมิน เป็นประตูเข้าพระราชฐานชั้นในหรือวังใน ด้านหน้ามีมังกรปิดหูคู่สีทองอยู่ประจำซ้ายขวา

 

      และทั้งหมดนี้ ก็คือสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทั้ง 3 แห่ง ต้องบอกเลยว่าแต่ละสถานที่มีเรื่องราวที่น่าศึกษาอีกเยอะมากๆ ไว้คราวหน้าจะมาเขียนให้ชาวบาริโอได้อ่านกันใหม่นะคะ

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ: ฝรั่งเศสเล่มเดียวเที่ยวได้จริง
alexanderpalace.org
saint-petersburg.com
dplusguide.com
oknation.nationtv.tv