“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” หรือในหลวงรัชกาลที่ 9 ของประเทศไทย ในบทบาทของการเป็นผู้นำ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักของปวงชน แต่ในอีกมุมหนึ่งท่านก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น

      ในหลวงรัชการที่ 9 นอกจากจะได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์ของโลกแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นกษัตริย์ที่มีความกตัญญูมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ผู้เขียนมีความจำอันเลือนลางประกอบกับเรื่องเล่าจากรุ่นปู่ย่าตายายว่า… ไม่ว่าสมเด็จย่าจะเสด็จไปไหน ข้างกายจะมีในหลวงอยู่ข้างๆ เสมอ  ซึ่งพระองค์เคยเอ่ยกับผู้ติดตามคนสนิทที่พยายามจะช่วยดูแลสมเด็จย่าว่า “ไม่ต้อง คนนี้เป็นแม่เรา เราประคองเอง” เราจึงเห็นภาพผู้ชายที่ดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์ คอยประคองพระมารดาไม่เคยห่างกาย

 

ที่มารูปภาพ : Kaysinee Koonsap

 

      ย้อนไปเมื่อครั้งเยาว์วัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงซนตามประสาเด็กบ้างเป็นครั้งคราว หากครั้งใดจะโดนสมเด็จย่าลงโทษในหลวงจะทรงเจรจาต่อรองกับสมเด็จย่าก่อนว่า โทษนี้หนักหรือเบาและควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า “ 3 ทีมากเกินไป 2 ทีพอแล้ว”

      ในหลวงทรงเรียกสมเด็จย่าว่า “แม่” เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป และสมเด็จย่าจะคอยอบรมให้ในหลวงรู้จัก “การให้” มาตั้งแต่เด็กๆ โดยทรงตั้งกระป๋องออมสินซึ่งเรียกว่า “กระป๋องคนจน” เอาไว้ หากในหลวงทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก “เก็บภาษี”  นำมาหยอดใส่กระปุก 10% ในทุกๆ สิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุม และถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไรบ้าง  เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน เป็นต้น  เมื่ออยากได้สิ่งของหรือของเล่นก็ต้องรู้จักอดออมด้วยตนเอง ครั้งหนึ่งที่พระองค์ทรงอยากได้จักรยาน สมเด็จย่าก็ทรงบอกว่า “ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”  จากเรื่องราวต่างๆ จะเห็นได้ถึงความผูกพันและใกล้ชิดกันระหว่างพระราชบุตรและพระราชมารดา จนทำให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีอุปนิสัยคล้ายพระราชมารดาหลายๆ อย่าง  เช่น  สุภาพอ่อนโยน และมีจิตใจโอบอ้อมอารี มีเมตตา

 

ที่มารูปภาพ : pinterest.com

 

      แม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตสมเด็จย่า ในหลวงก็ไม่เคยห่างจากพระวรกายของพระชนนี พระองค์คอยดูแลปรนนิบัติสมเด็จย่าไม่เคยขาด ทรงเสด็จจากวังสวนจิตรไปวังสระปทุมในตอนเย็นทุกวัน สัปดาห์ละ 5 วัน เพื่อไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่ เมื่อครั้งสมเด็จย่าประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ในหลวงจะเสด็จไปเยี่ยมทุกวัน จวบจนถึงตี 1 ตี 2 ตี 4  จึงเสด็จกลับ

      มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ในหลวงทรงพระประชวร และสมเด็จย่าเองก็ทรงพระประชวรอยู่เช่นกัน แต่ประทับอยู่กันคนละมุมตึกของโรงพยาบาล ในตอนเช้าในหลวงเปิดประตูออกมาเห็นพยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี เมื่อเห็นพระชนนี พระองค์ก็ทรงรีบมาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็กกราบทูลว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข็นมีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว แต่ในหลวงกลับมีรับสั่งว่า “แม่ของเรา ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น เราเข็นเองได้” ในวันนั้นในหลวงทรงเฝ้าสมเด็จย่าจนถึงตี 4 ตี 5 พระองค์ทรงจับมือ กอด และปรนนิบัติ จนกระทั่งพระชนนีบรรทมจึงเสด็จกลับ พอถึงวังเขาโทรศัพท์แจ้งว่าสมเด็จย่าเสด็จสวรรคต ในหลวงจึงรีบเสด็จกลับไปโรงพยายบาลศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง พระองค์จึงตรงเข้าไปคุกเข่า กราบลงที่หน้าอก พระพักตร์ของท่านอยู่ตรงกันกับหัวใจของสมเด็จย่า และทรงตรัสกับพระชนนีเป็นครั้งสุดท้ายว่า  “ขอหอมหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย” หลังจากนั้นจึงซบพระพักตร์นิ่งอยู่นาน แล้วค่อยๆ เงยขึ้น น้ำพระเนตรไหลนอง “ต่อไปนี้จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว” แล้วในหลวงก็เอาพระหัตถ์กุมมือของพระชนนีไว้ “มือนิ่มๆที่ไกวเปลนี้แหละที่ปั้นลูกจนได้เป็นกษัตริย์ เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง” พระองค์ทรงมองเห็นหวีปักอยู่ที่พระเกศา จึงค่อยๆ จับหวี หวีผมให้พระชนนี แต่งตัวให้พระชนนีสวยที่สุดในวันสุดท้าย

 

เมื่อในหลวงได้เป็นพระบิดา

      หลายปีผ่านไปพระองค์ทรงเติบโตท่ามกลางความอบอุ่น จากบทบาทของการเป็นพระราชโอรส กลายเป็นพระราชบิดาที่น่ารัก จึงมีเรื่องเล่ามากมายที่แสดงให้เห็นว่าท่านทรงรักและเอ็นดูพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์มากเพียงใด

 

ที่มารูปภาพ : เฟซบุ๊คนิทรรศการพลังแผ่นดิน

 

      จากหนังสือเรื่อง “พระราชอารมณ์ขันจากพระโอษฐ์” ได้เขียนเล่าว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2516 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ ทรงดนตรี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์

      ในวันนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ได้ทรงมีพระดำรัสสนทนาคุยเล่นกันตามประสาพระเชษฐภคินีและขนิษฐา หลังจากทั้งสองพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับฟังอยู่ได้ตรัสด้วยความเบิกบานในพระราชหฤทัยว่า

      “เมื่อกี้นึกว่าจะมานั่งแล้วก็คอยถึงพรุ่งนี้เช้า มะรืนนี้เช้า เพราะว่าตามธรรมดาสองพี่น้องนี้เวลาเขาพูดคุยกัน จะอยู่ด้วยกันสองคนหรือมีใครต่อใคร เขาก็คุยจุ๋งจิ๋งๆ ไปตลอดเวลา เขาชำนาญมาก…การคุย (เสียงฮา) เลยนึกว่าจะไม่จบเสียทีนะ … แต่แท้จริงเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว (เสียงฮา) แต่ตามธรรมดาเวลาเขาไม่รู้จะพูดอะไร ต่างคนเขาก็ต่างพูดเรื่องของตัว แล้วก็อีกคนก็ฟัง หูก็ฟังเรื่องของอีกคน แล้วปากก็พูดอีกเรื่อง แต่เข้าใจกัน (เสียงฮา) … คือว่าเรื่องของเขาก็ประหลาด หูฟังได้เรื่องหนึ่ง ปากพูดได้อีกเรื่องหนึ่ง (เสียงฮา)”

 

ที่มารูปภาพ : news.tlcthai.com

 

      อีกหนึ่งภาพประทับใจ กับความน่ารักของในหลวงและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 มีประชาชนนับแสนล้านคนใส่เสื้อเหลืองโบกธงชาติและธงกระดาษ ภ.ป.ร. ไปมา เพื่อรอรับเสด็จพระองค์และครอบครัว ถือเป็นภาพที่สวยงามประทับใจเป็นอย่างมาก จนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อดใจไม่ไหว จึงได้ทรงยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาทรงฉายจากด้านหลังที่ประทับของในหลวง

      สมเด็จพระเทพฯ เคยมีรับสั่งเกี่ยวกับภาพนี้อย่างมีความสุขกับนักข่าวว่า ในหลวงทรงตำหนิที่พระองค์ทำตัวเหมือนเด็ก “พ่อดุเรา…บอกให้เราไปถ่ายที่อื่น ให้เราสำรวมและให้ไปบอกคนข้างหลังให้เงียบๆ ด้วย”

      และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่กลายเป็นภาพประทับใจเรียกรอยยิ้มทุกครั้งที่ได้เห็น ถือเป็นภาพในความทรงจำของคนไทยทุกคนจวบจนปัจจุบันเลยทีเดียว

 

ที่มารูปภาพ : morning-news.bectero.com

 

      แม้ทุกวันนี้คนไทยจะสูญเสียพ่อหลวงอันเป็นที่รักไปแล้ว แต่พระองค์ก็ยังสถิตย์อยู่ในใจเสมอ เฉกเช่นเดียวกันกับพระราชบุตร พระราชธิดา และพระราชนัดดาของท่านที่ยังคงนึกถึงพระองค์อยู่ตลอดเวลา

      เมื่อวันที่ 11 ก.ย. พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ทรงบันทึกแถบวีดิทัศน์พระราชทานสัมภาษณ์ เพื่อเผยแพร่ในรายการพิเศษเนื่องในวันมหิดล ประจำปี 2560 เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาส โรงพยาบาลศิริราช โดยมีตอนหนึ่งที่พระองค์รับสั่งว่า “ทูลกระหม่อมพ่อ หรือ ในหลวง ร.9 ที่เขาเรียกกันนะค่ะ รับสั่งว่ามีความรู้มากมายที่เรียนมาแล้วทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วท่านก็บอกว่า พ่ออยากให้หนูเล็กมาทำงานที่ศิริราช  นี่ก็เป็นแรงบันดาลใจทำให้พี่มาทำงานที่ศิริราช แล้วก็ต้องขอบอกว่าพี่จะไม่มีวันทิ้งศิริราชไปไหน จะอยู่ศิริราชจนทำงานไม่ไหว”

      ทั้งนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงรับเป็นประธานจัดงานหารายได้ เนื่องในวันมหิดลในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

 

ที่มารูปภาพ : kapook.com

 

      และอีกหนึ่งเรื่องราวที่กลายเป็นที่พูดถึงกันมากมายในโลกโซเซียล ในช่วงการแข่งขัน “ซีเกมส์” ครั้งที่ 29  ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ได้เป็นหนึ่งในทัพนักกีฬาขี่ม้า ซึ่งองค์หญิงก็ไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง สามารถพาทีมคว้าเหรียญเงิน ประเภทศิลปะการบังคับม้า มาฝากคนไทยได้สำเร็จ และในขณะที่พระองค์ทรงให้สัมภาษณ์อยู่นั้นได้ทรงกอดพระพระบรมฉายาลักษณ์ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ตลอด พร้อมกับกล่าวทั้งน้ำตาคลอว่า

      “ดีใจที่สุด คือ ตอนได้กอดพระบรมฉายาลักษณ์ทูลกระหม่อมปู่ เหมือนว่าเอาเหรียญมาวางไว้ ก็คือถวาย แต่ว่าปกติเวลาแข่งแล้วเราได้เหรียญ พระองค์ท่านจะทรงคล้องให้ท่านหญิงเสมอ แต่มันก็คงไม่มีวันนั้น”

 

ที่มารูปภาพ : เฟซบุ๊ค H.R.H Princes Sirivannavari Nariratana

 

      ยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้รู้ และได้เห็นมุมน่ารักๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล รวมไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆ พระองค์  แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแค่ไหน เรื่องราวเหล่านี้จะกลายเป็นความประทับใจที่ยากจะลบเลือน และพระองค์จะสถิตย์ในดวงใจของชาวไทยไปชั่วนิรันดร์