lego-signage-01

            ย้อนกลับไปเมื่อวัยเด็กของเล่นยอดนิยมของใครหลายๆ คน คงหนีไม่พ้น“เลโก้”(Lego) ตัวต่อหลากสีสัน ที่สร้างความเพลิดเพลินและความสนุกสนานให้เด็กๆ เกือบทั่วโลก แต่กว่าจะมาเป็น“ของเล่น”ที่โด่งดังไปทั่วโลก บริษัทผลิตของเล่นเลโก้ต้องผ่านเรื่องราวมากมายหลายอย่างที่คุณอาจไม่เคยรู้ เชื่อหรือไม่ว่ากว่า Lego จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ก็ต้องแลกกับน้ำตาและความสูญเสียมากมายเพียงใด

            วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ย้อนวัยย้อนเรื่องราวไปในช่วงยุคกลางปีค.ศ.1930 ว่า “กว่าจะมาเป็น Lego” นั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง

Cr. en.wikipedia.org

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่เมือง “บิลลันด์”(Billund) ประเทศเดนมาร์ก จากช่างไม้คนหนึ่งที่มีชื่อว่า “Ole Krik Christiansen” เขาทำธุรกิจรับสร้างบ้านให้เกษตรกรในท้องถิ่นมาโดยตลอด และเมื่อ อุตสาหกรรมการเกษตรท้องถิ่นเติบโต ธุรกิจช่างไม้ของ Ole ก็โตไปด้วย แต่แล้วชะตากลับพลิกผันเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จนเขาจำเป็นต้องลดขนาดของธุรกิจงานไม้ให้เล็กลง โดยเขาต้องหันไปทำเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็ก เช่น ที่รองรีดจากไม้ บันไดปีนไม้ รวมไปถึงของเล่นชิ้นเล็กๆ ที่ทำจากไม้

แต่เหมือนโชคชะตาถูกกำหนดไว้ เมื่อ“ของเล่นไม้”กลับได้รับความนิยม และขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ในปี 1934 Ole จึงตัดสินใจหันมาทำธุรกิจของเล่นแบบเต็มตัว และเมื่อมีธุรกิจหลักแล้ว ชื่อบริษัทไม้แบบเก่าอาจจะไม่เหมาะ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ทันที!!

แล้วคำว่า “LEG” และ “GODT” ในภาษาเดนมาร์ก ที่แปลว่า “เล่นดีๆ” ก็ผุดเข้ามาในหัวเขาอย่างรวดเร็ว ด้วย ความชาญฉลาดและครีเอท เขาได้นำพยัญชนะ 2 ตัวแรกมาต่อรวมกันเช่นเดียวกับธุรกิจของเล่นตัวต่อได้เป็น “Lego” สั้น กระชับ ติดหูทั้งยังมีความหมายดีๆ ว่า “ช่วยให้เด็กเล่นกันดีๆ” อีกต่างหาก “Play Well”

logodesignlove.com

Cr. logodesignlove.com

วิกฤติที่ถูกเปลี่ยนเป็นโอกาส

            Ole เป็นคนที่ใส่ใจและไม่เคยละเลยต่อคุณภาพของสินค้า ดังคติพจน์ที่มีว่า “Only the best is good enough” หรือ แปลได้ว่า “ต้องดีที่สุดเท่านั้น ถึงจะดีพอ” ถือเป็นคติที่คนในบริษัทปฎิบัติต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

            แต่การทำงานทุกอย่างล้วนมีอุปสรรค แม้แต่ Ole ก็เช่นกัน!! ในปี 1940 ขณะที่ธุรกิจของเล่นไม้ของเขากำลังไปได้ดี ได้เกิดเหตุการณ์ประท้วงอย่างรุนแรง ทำให้โรงงานของเขาถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง

            บริษัทของเขาถูกไฟไม้วอดวายแต่ด้วยหัวใจที่ไม่ย่อท้อเขาจึงเริ่มมองหาว่ามีอะไรอย่างอื่นที่จะเอามาใช้ผลิตของเล่นแทนไม้ได้ไหม?? สุดท้าย Ole จึงได้ค้นพบว่า“พลาสติก”คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ในตอนนั้น เขาจึงตัดสินใจซื้อเครื่องฉีดพลาสติก มาใช้ในการผลิตของเล่น และภายใน 2 ปี (ปีค.ศ. 1949) เลโก้ก็ได้ผลิตของเล่นพลาสติกและของเล่นไม้ออกมาถึงเกือบ 200 ชนิด นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์จากไม้เป็น พลาสติกแล้ว ยังถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของวงการของเล่นไปตลอดกาลอีกด้วย

            Lego เริ่มหันไปผลิตของเล่นประเภท Brick ซึ่งเป็นของเล่นที่สามารถต่อเป็นของเล่นตามจินตนาการได้ เป็นตัวต่อที่หน้าตาสี่เหลี่ยมง่ายๆ เหมือนในปัจจุบัน และเป็นของเล่นที่มีคู่แข่งมากมายในท้องตลาด ที่ผลิตสินค้าประเภทเดียวกันออกมา แต่ทุกแห่งจะประสบปัญหาที่ชิ้นงานที่ต่อแล้วไม่แน่นและหลุดออกจากกันได้ง่าย

            Lego จึงได้ลงทุนศึกษาวิจัยและพัฒนารูกลมที่อยู่ข้างใต้ตัว Brick ซึ่งมีผลทำให้ชิ้นงานติดแน่น พร้อมกับนำวัสดุใหม่ในยุคนั้นอย่าง ABS มาใช้ ทำให้ตัวต่อไม่หลุดออกจากกันง่ายเหมือนในอดีต และให้ทำให้เกิดเป็น Modern Brick ในปี 1958 หลังจากที่ได้ใช้เวลาพัฒนาอยู่นานถึง 5 ปี และผลงานชิ้นนี้ ได้กลายเป็นลิขสิทธิ์ของ Lego ที่ทำให้เหนือกว่าคู่แข่งในท้องตลาดทั้งหมด

Cr. www.pjmagazine.it

ของเล่นกับศิลปะที่ลงตัว

           แม้ว่าตอนนั้น Lego จะเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่ Ole ก็ยังคิดว่า Lego ยังขาดอะไรไปสักอย่าง และเพื่อเติมเต็ม เขาจึงตัดสินใจทำอย่างหนึ่งขึ้นมา ซึ่งถือเป็นการปฎิวัติ Lego อีกครั้งเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ การตัดสินใจไปหา Piet Mondrian จิตรกรร่วมสมัยชาวดัตช์ผู้โด่งดังในยุคนั้น เจ้าของผลงานภาพศิลปะแบบ Abstract ที่ใช้จุด เส้นและระนาบมาจับคู่กับแม่สี หรือ Primary Key เพื่อนำเอาแม่สีที่สดใสเหล่านั้น มาใช้กับของเล่นของตน และนั่นกลายเป็นจุดขายใหม่ของ Lego ที่มีสีสันสวยงาม สะดุดตา เหนือคู่แข่งอื่นๆ ในท้องตลาด

            Lego ก้าวมาถึงจุดรุ่งเรือง เมื่อ Godtfred Krik Christiansen ลูกชายของ Ole ได้พบใครคนหนึ่งโดยบังเอิญ เขาคือลูกค้าคนสำคัญ จากห้างสรรพสินค้าใหญ่ของเดนมาร์กเพื่อตามหาของเล่นแบบใหม่ที่จะนำมาขายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งนายห้างก็ได้ให้ความสนใจกับเจ้าตัวต่อ Lego เช่นกัน จึงได้มีการตกลงและทำการซื้อขายกันเกิดขึ้น และได้มีการพัฒนาสินค้า จนก่อกำเนิดชุด Lego ที่ขายดีที่สุดในยุคนั้นคือ“เลโก้ชุดผังเมือง”หรือ Lego City

lego-system-packaging-1960

Cr. logodesignlove.com

            ด้วยความที่เป็นตัวต่อที่ต่อกันได้หลากหลาย Lego ทำให้หลายคนประหลาดใจได้แบบสุดๆ เพราะสามารถนำมาต่อกันไม่ซ้ำแบบ ได้มากถึง 950,103,765 แบบเลยทีเดียว และด้วยความหลากหลายนี้จึงทำให้เลโก้เป็นของเล่นที่ครองใจเด็กๆ มานานกว่า 60 ปี และในปี 1958 Ole ก็เสียชีวิตอย่างสงบ เขาผู้ได้สร้างนวัตกรรมตัวต่ออิฐก่อพลาสติกขึ้น และในปีเดียวกันก็ ถือว่าสายตระกูลของ Lego ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง

            Godtfred Krik Christiansen ลูกชายของ Ole ได้รับช่วงต่อและผลักดันให้ Lego เติบโตขึ้น เขาได้หยุดการผลิตของเล่นจากไม้ทั้งหมดเพราะเห็นว่า Brick เป็นอนาคตของบริษัท ดังนั้น เขาจึงต้องพัฒนา Lego ให้ก้าวเท่าทันโลก และอีกหนึ่งเหตุผลคือเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานอีกครั้ง

Lego goes to…USA!!!

            ในปี 1961 Lego มีสินค้าต่างๆ ถึง 50 ชุด กระจายขายใน 11 ประเทศและเริ่มมองหาตลาดอเมริกาเพื่อตั้งฐาน โรงงานผลิตสินค้า ในตอนนั้น มีบริษัทกระเป๋าเดินทางชื่อดัง Samsonite ได้ให้ความสนใจ และทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ไปจำหน่ายเอง แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เมื่อครบ 8 ปีตามสัญญา ในช่วงต้นปี 1970 Godtfred จึงตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์กลับคืน มาและได้เข้าควบคุมการขายในสหรัฐด้วยตนเอง

            อย่างไรก็แล้วแต่แม้ในอเมริกาจะทำยอดขายได้ไม่ดีนัก แต่กับประเทศอื่นๆ กว่า 42 ประเทศทั่วโลก Lego กลับได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และมีแขกที่สนใจ และเข้ามาเยี่ยมชมโรงงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ และด้วยเหตุนี้เอง Godtfred จึงสร้างสวนสนุกของ Lego เพื่อไม่ให้คนมายุ่งกับส่วนของโรงงาน ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Legoland นั่นเอง

            อาณาจักรสวนสนุกที่ยิ่งใหญ่ เติบโตขึ้นทั้งหมด 8 แห่งด้วยกัน และกลายเป็นสวนสนุกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ทำให้ Lego กลายเป็นแบรนด์ทรงพลังมากขึ้น

Cr. logodesignlove.com

อุปสรรคที่มาพร้อมกับการเติบโต

            ในช่วง 1970 เป็นช่วงปีที่ดีมากของ Lego ด้วยยอดขายรวมกว่า 300 ล้านเหรียญ และอีก 8 ปีต่อมาได้ถือกำเนิด Minifigure หรือตุ๊กตาเลโก้ตัวน้อย อันเป็นผลงานจากความคิดของ Kjeld Kirk Khristiansen ลูกชาย Godtfred และเป็นผู้บริหารในยุคที่ 3 ของเลโก้ นับว่าเป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ไปจนถึงรุ่นหลาน

            นอกจากนี้เจ้า “มินิฟิกเกอร์” ยังเหมาะกับเลโก้ผังเมืองของเด็กๆ ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นส่วนเติมเต็มที่ทำให้เลโก้ดูมีสีสันและมีชีวิตชีวามากขึ้น พร้อมกันนี้เลโก้ได้ขยับขยายจากชุด City มาเป็นชุดปราสาท และชุดอวกาศ ซึ่งเป็นเซตที่ขายดีที่สุดตั้งแต่มี Lego มา

            ในช่วงปี 1980 กำไรของเลโก้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเมือง“บิลลันด์”กลายเป็นเมืองแห่งเลโก้ จากเดิม ที่เคยมีพนักงานแค่ 200 คน เพิ่มกลายเป็นจำนวนหลายพันคน แต่ในปลายยุค 80 ปัญหาเรื่องการหมดความคุ้มครองในลิขสิทธิ์ของ Lego ทำให้งานออกแบบอันซับซ้อน กลายเป็นของฟรีที่ใครเอาไปใช้ก็ได้

            ปัญหาสินค้าเลียนแบบ ทำให้ Lego เริ่มขาดทุนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์บริษัท จนต้อง ปลดพนักงานออกพันกว่าคน นั่นเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าตัวต่อสี่เหลี่ยมง่ายๆ ของเลโก้อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เลโก้เริ่มเข้าใจแล้วว่า ถ้าพวกเขาขายแต่ตัวสีเหลี่ยม พวกเขาจะพ่ายแพ้ต่อกระแสธุรกิจที่ดุเดือด

            ดังนั้น Lego จึงเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆ และได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีเข้ามารวมอยู่ในของเล่นที่ Advance ขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทำให้กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดยของเล่นที่เปี่ยมด้วยกลไกและสมองกลขนาดจิ๋ว ได้ขยับฐานจากกลุ่มเด็ก ไปสู่กลุ่มผู้ใหญ่ที่ยังชื่นชอบของเล่นตัวต่อ และได้เกิดเป็นของเล่นชุด Lego Mindstorm ในที่สุด

            ปี 1999 Lego ได้ลงทุนจำนวนมหาศาล เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ของภาพยนต์ที่ดังตลอดกาลอย่าง Star Wars และได้ทำ Lego Star Wars Set ซึ่งชิ้นส่วนตัวต่อ Lego ได้เปลี่ยนสภาพจากพลาสติกสี่เหลี่ยม ธรรมดาๆ มาเป็นอาวุธทรงพลังของเจได ไม่ว่าจะเป็นจรวด หรือปืนบลาสเตอร์

            ในปีนั้น ชุดของเล่น Lego Star Wars ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้สินค้าขาดตลาด ดังนั้นในปี 2000 Lego จึงได้เร่งเพิ่มยอดผลิตของเล่นชุด Star wars ให้มากขึ้น แต่ยอดขายรวมกลับลดน้อยลง เพราะปีนั้น สตาร์วอล์สไม่มีฉายในโรงภาพยนตร์ ทำให้ Lego ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องราว หรือ Theme มากขึ้น และได้ลงทุนซื้อลิขสิทธ์จากภาพยนต์ระดับโลกมากมายเช่น แฮรี่พอร์ตเตอร์และ ซุปเปอร์ฮีโร่ต่างๆ

            ปี 2004 Lego ยังคงขาดทุนไม่หยุด โดยมียอดติดลบถึง 220 ล้านเหรียญ จนทำให้เกือบล้มละลาย และกลายเป็นจุดจบของ CEO ทายาทผู้ก่อตั้งอย่าง เคลด์เคิร์กคริสเตียนเซน ที่ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยเขาได้ไปขอร้องให้คนนอกครอบครัว มาช่วยพยุงธุรกิจของตระกูล

            Lego ได้แต่งตั้ง CEO คนใหม่ ที่ชื่อ Jørgen Vig Knudstorp ชายหนุ่มอายุ 34 ปี ให้เข้ามาช่วยบริหาร ซึ่งทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ผลลัพธ์ในตอนท้าย กลับแย่กว่าที่ Jørgen คิดไว้เมื่อเงินยังไหลออกจากบริษัทแบบฉุดไม่อยู่ ทำให้บริษัทเกือบจะไปไม่รอด จนในที่สุด Kjeld จึงได้ยินยอมขาย Legoland บางแห่งออกไป

Cr. logodesignlove.com

Bionicle วีรบุรุษผู้กอบกู้โลก และ Lego

            โชคชะตายังคงช่วยเลโก้ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เมื่อของเล่นชุด Bionicle หรือตัวต่อรุ่นพิเศษที่ประกอบขึ้นเป็นหุ่นยนต์ และสามารถรวมร่างกับตัวต่อรุ่นอื่นๆได้ มาช่วยพลิกยอดขายและเพิ่มผลกำไรให้กับ Lego อย่างน่าอัศจรรย์ อันเป็นผลมาจากการออกซีรี่ส์อนิเมชั่น เรื่อง Bionicle ออกฉาย จนเด็กๆพากันรบเร้าให้ผู้ปกครองซื้อมาเป็นของขวัญ ทำให้ Lego มองเห็นช่องทางการตลาดที่ชัดเจนขึ้น และได้ตัดสินใจพัฒนาของเล่น ควบคู่ไปกับการออกภาพยนต์หรือซีรี่ส์ที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อสร้างยอดขายมหึมา

            เมื่อวิกฤติหนักผ่านไป Jørgen Vig Knudstorp ได้ทำการสำรวจและปฎิวัติบริษัทครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงภายใน และเริ่มย้อนกลับมาดูในสิ่งที่เลโก้เคยทำได้ดี โดยได้มีการตัดจำนวนสีและตัดรูปทรงของตัวต่อที่ผลิตออกมา ทำให้กระบวนการผลิตและจัดซื้อขายเรียบง่ายขึ้น

            Jørgen Vig Knudstorp ได้ปะติดปะต่อเลโก้ใหม่ขึ้นมาทีละตัวและเขาพบว่าคุณค่าที่แท้จริงของเลโก้ตั้งอยู่ในรากฐานของมัน หลังจากการปฎิวัติแนวคิดในการบริหารเสียใหม่ Lego ก็ได้เติบโตขึ้นอีกครั้ง โดยสร้างของเล่นที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่องราวที่เด็กๆ สนใจ มีเนื้อเรื่องหรือเรื่องราวให้ชวนติดตาม

            หลังจากที่ Lego ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ก็ได้ขยายตลาดจากเดิมที่มีแต่กลุ่มเด็กผู้ชาย ให้ขยายไปยังเด็กผู้หญิงด้วย Lego Friends และ Lego ก็ทำสำเร็จได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

            ในปี 2014 Lego ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ทางด้านยอดขาย และปีเดียวกันก็ได้นำภาพยนตร์ Lego the Movie ออกฉายไปทั่วโลก

            Lego จึงได้กลับกลายมาเป็นบริษัทของเล่นที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลกตราบจนปัจจุบัน!!

Cr. lego_hub