หากจะกล่าวว่า “โลกนี้เต็มไปด้วยความศรัทธา” คงไม่ผิดมากนัก เพราะไม่ว่าจะกี่ชาติ ศาสนา ล้วนมีสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อและศรัทธา” ไว้คอยยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มองเห็น เช่น สิ่งของ สถานที่ต่างๆ รวมไปถึงสิ่งที่มองไม่เห็น ได้แก่  ภูตผีปีศาจ หรือคำทำนาย ซึ่งเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลนั่นเอง

      และในครั้งนี้ Karuntee ขอพาแฟนๆ บาริโอ ไปรู้จักกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยศรัทธา ซึ่งถูกสร้างและปั้นมาให้กลายเป็นสถาปัตยกรรม รวมถึงการตกแต่งภายในอันสวยงามควบคู่กัน จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักบุญให้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนั้น….

 

วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร,สุราษฎร์ธานี ประเทศไทย

 

Cr. flickr.com

 

Cr. jitarsabank.com

 

      เริ่มกันที่บ้านเรากันก่อนเลย ประเทศไทยขึ้นชื่อในเรื่องความงามจากสถาปัตยกรรมจากวัดวาอารามแบบชาวพุทธ ที่มีความปราณีตสวยงาม ต้องตาต้องใจคนหลากหลาย (รวมถึงคนต่างศาสนาด้วย) ให้มาสัมผัสผ่านการดูด้วยตาสักครั้งในชีวิต ซึ่งหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหารสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พระบรมธาตุไชยาเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมือง วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหารถือเป็นโบราณสถาน ซึ่งมีจุดเด่นที่สุด คือ พระบรมธาตุเจดีย์ ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมศิลปะศรีวิชัย และมีรูปทรงเป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรมุขย่อ มุขด้านตะวันออกมีบันไดเพื่อให้คนสามารถขึ้นลงไปกราบนมัสการพระพุทธรูปที่อยู่ภายในเจดีย์ได้ ส่วนรอบองค์พระธาตุมีเจดีย์เล็ก 4 ทิศ ล้อมรอบด้วยวิหารคด ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ขนาดต่างๆ โดยรอบทั้ง 4 ด้าน ตัวเจดีย์พระบรมธาตุมีความสูงจากฐานใต้ดินถึงยอดประมาณ 24 เมตร ทั้งนี้ฐานโดยรอบได้ขุดให้เป็นสระน้ำ ซึ่งมีน้ำขังทั้งปี แม้ในฤดูที่แห้งแล้งก็ยังมีน้ำผุดขึ้นมา โดยชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ แม้ตอนนี้จะมีการก่อซีเมนต์ทับตาน้ำนั้นไปแล้ว เหลือเพียงบ่อน้ำธรรมดา แต่ผู้ที่มากราบไหว้ก็มักจะนำน้ำนั้นมาล้างหน้าล้างตาเพื่อความเป็นสิริมงคล

      อัตลักษณ์ที่ถูกปั้นและการออกแบบตกแต่งออกมาเป็นพระธาตุเจดีย์ที่ทุกคนได้เห็นในทุกวันนี้ บรรพบุรุษต้องการแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนามาแต่อดีตนับพันปี เป็นหลักฐานที่สามารถนำมาเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของบรรพชนในอดีต และหวังไว้ว่าวีรชนคนรุ่นหลังจะรักษาไว้ให้กลายเป็นมรดกของรุ่นต่อๆ ไป

 

ฮาเกีย โซเฟีย, ประเทศอิตาลี

 

Cr. youngadventuress.com

 

Cr. wordlessTech

 

      ฮาเกีย โซเฟีย (Hagia Sophia) แห่งนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เป็นต้นแบบสถาปัตยกรรมโบสถ์ของคริสต์ศาสนิกชนตะวันตก ยุคไบเซนไทน์ (Byzantine) ทั้งนิกายออร์โธดอกซ์และคาทอลิกกรีก รวมทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง ก่อนจะได้รับคัดเลือกเข้ารอบสุดท้ายให้เป็น 1 ใน 21 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2007 ประวัติความเป็นมาของ ฮาเกีย โซเฟีย นั้นน่าอัศจรรย์ไม่น้อยไปกว่าความยิ่งใหญ่ด้านสถาปัตยกรรม เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นวิหารของพระราชาคณะแห่งคอนสแตนติโนเปิล และเป็นโบสถ์ของนิกายไบแซนไทน์ในเวลาเดียวกัน นับเป็นเวลานานกว่า 1,000 ปี แต่เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1453 สุลต่านแห่งตุรกี บุกยึดเมืองหลวงและดัดแปลงทุกสิ่งอย่างภายในโบสถ์ แปลงเป็นสุเหร่าของมุสลิม เดิมโบสถ์หลังแรก ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 360 โดยคอนสแตนเตียส จักรพรรดิโรมันตะวันออก แต่ถูกทำลายจากการเกิดจลาจลในปี ค.ศ. 404 จากนั้นจักรพรรดิธีโอดอเซียส ที่ 2 ได้บูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 415 และถูกทำลายจากการจลาจลอีกเช่นกันเมื่อปี ค.ศ. 532 ส่วนโบสถ์ที่คงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน ก่อสร้างในยุคจักรพรรดิจัสติเนียน สมัยที่อาณาจักรไบแซนไทน์เรืองอำนาจและมีอิทธิพลสูงสุด ระหว่างปี ค.ศ. 532-537 มีการระดมแรงงานก่อสร้างกว่า 10,000 คน โดยมี โดมขนาดใหญ่ เป็นองค์ประกอบโดดเด่นที่สุดของโบสถ์ และเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีโดมอยู่ตรงกลาง พร้อมทั้งได้รับการสงวนไว้เป็นมาตรฐานของมัสยิดในแถบตะวันออกกลาง

      โดมของฮาเกีย โซเฟียวางอยู่บนเสาหินขนาดใหญ่ แต่ด้วยความเร่งรีบในการรับมอบหมายให้สร้างเสร็จสิ้นภายในเวลาห้าปีนั้น งานจึงออกมาไม่ได้มาตรฐานนัก จนทำให้น้ำหนักของโดมกดทับลงมมาบนกำแพงทั้งสี่ด้าน จนกำแพงเกิดการโก่งออก และหลังการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.989 จึงได้มีการซ่อมแซมโดมใหม่ทำให้โดมมีความสูงขึ้นกว่าเดิมอีก 20 ฟุต นับแต่นั้นมา โดมใหญ่แห่งฮาเกียโซเฟียก็กลายเป็นลักษณะมาตรฐานของสถาปัตยกรรมออร์โธดอกซ์ โรมันแคธอลิกและอิสลามต่อมาอีกนับหลายศตวรรษ

      สำหรับการออกแบบตกแต่งฮาเกีย โซเฟียนั้น กำแพงหินภายนอกตัวอาคารนั้นดูเรียบง่าย แต่ภายในกลับวิจิตรงดงามอลังการด้วยพื้นหินอ่อนและผนังโดยรอบที่ประดับประดาด้วยหินโมเสก ทองคำและกระจกสีที่นำมาทำเป็นรูปพระเยซูคริสต์และนักบุญ ดูสวยงาม บริเวณฐานทรงกลมของโดมถูกเจาะเป็นช่องหน้าต่างโค้งจำนวน 40 ช่อง ทำให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้ามาให้ความสว่างภายในห้องโถงได้ อีกหนึ่งจุดสำคัญคือภาพโมเสกที่ยอดโดม ภาพพระแม่มารีอุ้มพระเยซู (Virgin Mother and Child) ผลงานทางศิลปะชื่อดังของยุคไบเซนไทน์

      มหาวิหารโซเฟียแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ทุกมุมภายในวิหารถูกประดับด้วยศิลปะแบบโมเสก โดยส่วนใหญ่เป็นภาพที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ และสถาปัตยกรรมอื่นๆ  เช่น โมเสกภาพวันพิพากษา เขียนในยุคศตวรรษที่ 12 มีพระเยซูอยู่ตรงกลางระหว่างพระแม่มารีและเซนต์จอห์น (The Deësis mosaic), หลุมศพของเฮนริคัส แดนโดโล (Henricus Dandolo) แม่ทัพจากเมืองเวนิส คุมกองทัพลาตินโจมตีเมืองอิสตันบูลในสมัยสงครามครูเสดครั้งที่ 4 แล้วเสียชีวิตระหว่างทาง ศพฝั่งอยู่ที่นี่ อีกหนึ่งจุดยอดนิยม คือ Weeping Pillar หรือ เสาร้องไห้ ซึ่งบริเวณนี้เราจะเห็นนักท่องเที่ยวต่างยืนเข้าแถวรอคิวเพื่อเอานิ้วโป้งไปแหย่ในรู แล้วอธิษฐาน หากคุณสามารถบิดข้อมือได้ 360 องศา คุณจะสมหวังดั่งคำอธิษฐาน

 

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์, ประเทศอิตาลี

3ee6919933be7c981de94ff647350234

Cr. holidays-to-italy.com

79e8ab0863b6cc6242b40778bcfd2ce3

cr. BelleItaly.com

      มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica)  ตั้งอยู่ในนครรัฐวาติกัน ประเทศอิตาลี ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาของชาวคริสต์ทั้งโลก เป็นแหล่งรวมสุดยอดงานศิลปะทุกรูปแบบจากทุกยุคสมัยไว้ในที่เดียว ความสำคัญของวิหารแห่งนี้เริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่าสถานที่นี้เป็นบริเวณจุดฝังศพของนักบุญปีเตอร์ หนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซูและเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก ต่อมาจึงกลายเป็นประเพณีว่าพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน

      อาคารหลังแรกเริ่มสร้างในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินระหว่างปี ค.ศ.326-333 และมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมมาโดยตลอด จนมาถึงสมัยโป๊ปจูเลียสซึ่งมีความต้องการที่จะสร้างอาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงเริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1506 ส่วนอาคารปัจจุบันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดย Michelangelo แต่ไม่แล้วเสร็จ และได้สร้างเสร็จในปี 1590 โดยภายในถูกตกแต่งจากฝีมือของ Bernini สุดยอดศิลปินของยุคเรอเนสซองซ์ รวมถึง Raphael และ Michelangelo ที่ต่างฝากผลงานเอาไว้มากมาย ตัววิหารนี้จึงเต็มไปด้วยความงดงามของจัตุรัสที่ยิ่งใหญ่ พร้อมภาพเขียนฝาผนังและเพดานงดงามตระการตา โดมของมหาวิหารสูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม โบสถ์นี้ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ และสามารถจุคนได้กว่า 60,000 คน เลยทีเดียว

 

มหาวิหารเซนต์เบซิล,รัสเซีย

 

 

       มหาวิหารเซนต์เบซิล (St. Basil’s Cathedral)  ประเทศรัสเซีย เป็นวัดคริสต์ศาสนาของนิกายรัสเซียออร์โธด็อกซ์ ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญซึ่งเป็นแหล่งรวมความศรัทธาของชาวคริสต์จากทั่วทุกสารทิศ และขึ้นชื่อในเรื่องของสถาปัตยกรรมที่แปลกใหม่ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศและหนึ่งในมรดกของโลกในปัจจุบัน การออกแบบตกแต่งตัวอาคารได้รับแรงบันดาลใจมาจากไฟศักดิ์สิทธิ์  กับดีไซน์ที่แปลกและแตกต่างจากตึกทั่วไป และการนำลูกเล่นจากเทคโนโลยีและสีสันที่สดใสมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นการสร้างที่ผิดจากแบบแผนที่นิยมปฏิบัติในยุคไบแซนไทน์ แต่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและกล้าคิดต่างของชาวคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ของรัสเซีย นำไปสู่ความรุ่งเรืองและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จากทั่วโลก

      มหาวิหารเซนต์เบซิล เริ่มสร้างในศตวรรษที่ 16 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือกองทหารทาทาร์ในวัน Feast of the Intercession โดยชื่อของวิหารมาจากนาย Basil คนโกหกในตำนานของรัสเซียที่ได้ใช้โบสถ์เเห่งนี้เป็นที่ฝังศพของเขา สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของตัววิหารนี้หนีไม่พ้นยอดโดมทรงหัวหอมที่เเปลกเเละเป็นเหมือนส่วนผสมที่เเสนจะลงตัวของสถาปัตยกรรมฝั่งตะวันตกเเละตะวันออก พร้อมหลากสีสันที่เเตกต่างกันไปในเเต่ละส่วนของโดม ทำให้เกิดเป็นภาพสามมิติสะท้อนให้เห็นความงดงามที่หาสัมผัสไม่ได้ง่ายๆ จากที่ไหน มีทั้งโดมที่เป็นเเสดงเเดงสลับขาว เเบบวงก้นหอย และโดมสีทองสวยงามอร่ามตา ซึ่งภายในเเต่ละโดมจะถูกใช้เป็นหอสวดมนต์ต่างๆ นอกจากนี้ยังแบ่งบางส่วนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ รวมถึงผลงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับศาสนาไว้เป็นจำนวนมาก เเต่ละชิ้นนั้นมีความงดงามเเละทรงคุณค่าในการชมเป็นอย่างยิ่ง

 

วัดคิโยะมิซุ, ประเทศญี่ปุ่น

 

Cr. foursquare.com

 

      วัดคิโยะมิซุหรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าวัดน้ำใส  ตั้งอยู่บนเขาโอะโตะวะ  เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปัจจุบัน และถือเป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตะโบราณ (Historic Monuments of Ancient Kyoto) ซึ่งเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก โดยอาคารหลักของวัดคิโยะมิซุได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น

      งานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่โดดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้ คงนี้ไม่พ้น อาคารหลักของวัดคิโยะมิซุที่ใครมาถึงก็ต้องเก็บภาพประทับใจไว้ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ มีระเบียงขนาดใหญ่และสูงกว่า 13 เมตร กอปรกับมีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับ สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา ซึ่งตรงมุมเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของวัดคิโยมิซุ เพราะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโตได้แบบสุดลูกหูลูกตา โดยชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วสามารถรอดชีวิตไปได้ ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล ดั่งคำที่ชาวญี่ปุ่นพูดกันบ่อยๆ ว่า “กระโดดจากระเบียงวัดคิโยะมิซุ” นั่นหมายความว่า เป็นตัดสินใจกะทันหัน หรือกล้าตัดสินใจ ถือเป็นความเชื่อที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่ในสมัยเอะโดะ

      สำหรับเหตุผลและคำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ของคนที่รอดชีวิตจากการกระโดดระเบียงคือ อาจเป็นเพราะด้านล่างของระเบียงมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น ซึ่งจะช่วยชะลอแรงกระทบให้บรรเทาลงได้บ้าง โดยในปัจจุบันทางวัดห้ามมิให้มีการกระโดดระเบียงแห่งนี้แล้ว และเมื่อย้อนกลับไปในยุคสมัยเอโดะกลับพบสถิติที่ว่ามีผู้มากระโดดระเบียงแห่งนี้ถึง 234 คน และรอดชีวิตซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85.4 ของจำนวนทั้งหมด

      ในส่วนของข้างใต้อาคารหลักจะเป็นน้ำตกโอตะวะ โดยมีน้ำตกถึง 3 สายไหลลงมาบรรจบกันที่บ่อน้ำบริเวณวัด นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาดื่มน้ำจากบ่อนี้โดยใช้ถ้วยโลหะ เพราะเชื่อว่าจะสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และหมายถึงว่าคนที่ได้ดื่มจะมีสุขภาพแข็งแรง  มีความรัก และประสบความสำเร็จในการศึกษา

      นอกจากนี้ภายในบริเวณวัด ตรงด้านหลังอาคารยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอื่นๆ อีกมากมาย แต่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็คือ ศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) ซึ่งถูกสร้างขึ้นสำหรับสักการะเทพโอะคุนินุชิโนะ มิโกะโตะ (Okuninushino Mikoto) เทพแห่งความรักและเนื้อคู่ โดยภายในศาลเจ้ามี “ก้อนหินแห่งความรัก” 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างกัน 18 เมตร เชื่อกันว่า หากสามารถหลับตาเดินจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งได้ จะสมปรารถนาในเรื่องของความรักนั่นเอง

 

วัดเจ้าแม่กวนอิม, ฮ่องกง

 

 

      วัดเจ้าแม่กวนอิม ตั้งอยู่ที่อ่าว รีพัลส์ เบย์ (Repulse Bay) ฮ่องกง แต่เดิมวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองชาวประมงในการออกเรือไปหาปลา แต่ในปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่โด่งดังมากในเรื่องการมาไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งมีตั้งแต่การไหว้ขอพรจากเจ้าแม่กวนอิม  ด้วยการเดินบนวงกลม (ตรงจุดที่ไหว้ขอพร) ถือเป็นการช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต ส่วนใครที่อยากมีโชคลาภ เงินทองและความร่ำรวย ให้ขอพรจาก “เทพไฉ่ซิงเอี้ย”

      สำหรับใครที่อยากมีลูกให้ขอกับพระสังกัจจาย วิธีการคือให้ลูบที่ท้องพระ เชื่อว่าจะสามารถขอลูกและเลือกเพศได้ หากลูบท้องทางด้านขวาจะได้ลูกชาย และลูบด้านซ้ายถ้าอยากได้ลูกสาว นอกจากนี้ยังมีการสักการะและขอพรจาก “เจ้าแม่ทับทิม” เพื่อให้ช่วยคุ้มครอง แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง รวมไปถึงขอในเรื่องธุรกิจค้าขายด้วย

      และที่ขาดไม่ได้ก็คือหากอยากขอพรในเรื่องของความรัก  ให้คุณเดินตรงดิ่งไปที่สะพาน เพราะเชื่อว่าจะทำให้รักสมหวัง แถมใครที่ได้เดินข้ามสะพานแห่งนี้ จะอายุจะยืนขึ้นอีก 3 วัน

      และนี่คือบางส่วนของสถานที่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามและพลังแห่งความศรัทธาอันยิ่งใหญ่จากทั่วโลก ที่ Karuntee หยิบมาให้แฟนๆ บาริโอได้ชมกันค่ะ ซึ่งต่างสถานที่ ต่างความเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณกันด้วยนะคะ