Museum + Masterpiece

งานศิลป์ชิ้นเอก

งานศิลป์ชิ้นเอก ที่ทรงคุณค่ามากมายที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยจิตวิญญาณของศิลปิน ที่วาดฝันเอาไว้ว่า วันหนึ่งงานของพวกเขาจะถูกจัดแสดงและเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกผลงานของศิลปินเหล่านั้นจะได้ไปอยู่ในสถานที่และเวลาที่ถูกต้องจนกลายเป็นที่กล่าวขานของผู้คน ในขณะเดียวกันก็ยังมีงานศิลปะที่สามารถบรรลุเป้าหมายของเจ้าของผลงาน กลายเป็นผลงานชื่อดังอันทรงคุณค่า ด้วยถูกนำไปจัดแสดงยังพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง จนภายหลังไม่รู้ว่าพิพิธภัณฑ์ช่วยทำให้งานศิลปะเป็นที่สนใจ หรือว่างานศิลป์ทำให้คนมาเยือนงานพิพิธภัณฑ์แบบไม่ขาดสายกันแน่
เชิญพบกับ 4 พิพิธภัณฑ์และงานศิลป์เลี่ยงชื่อของแต่ละแห่ง ที่เราคัดสรรมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักในวันนี้กันค่ะ

Louvre Museum & Monalisa

Lourve Museum
Cr. travelandleisure

Location : Paris, France

พิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่เราจะพูดถึงในวันนี้ ได้แก่ Louvre Museum (พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์) หนึ่งในเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงทางด้านความเก่าแก่ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1793 และได้รับการต่อเติมส่วนทางเข้าหลัก (โดมพีระมิดแก้ว) ใหม่อีกครั้งในปี 1993 เป็นการฉลองครบ 200 ปีพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบันยังครองตำแหน่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก และเป็นสถานที่ที่มีผู้เข้าชมหลายล้านคนต่อปี ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะภายในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นสถานที่อยู่ของผลงานศิลปะมากมายกว่า 35,000 ชิ้น ทำให้สามารถดึงดูดใจของผู้ชื่นชอบในงานศิลป์ได้มากมาย และผลงานที่ลือชื่อมากที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็คือ ภาพ Painting ของหญิงสาวนาม Monalisa (โมนา ลิซ่า) ผลงานของยอดศิลปินอย่าง Leonardo Da Vichi (เลโอนาร์โด ดาวินชี) หนึ่งในจิตรกรชาวอิตาลีผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่มีผลงานเลื่องชื่อมากมายหลายแขนง
Mona Lisa Art
Cr. reidaverdade
ภาพวาดโมนา ลิซ่า จริงๆ แล้วมีข้อมูลว่าเป็นภาพเหมือนของหญิงสาวชื่อ Lisa Gherardini ถูกวาดด้วยสีน้ำมัน ลงบนแผ่นไม้ Poplar Panel ที่ถูกนำมาต่อกัน หรือทางศัพท์เทคนิคจะเรียกว่า ‘จิตรกรรมแบบแผง’ โดยแผ่นไม้มีขนาดประมาณ 30 x 21 นิ้ว (77 x 53 ซม.) ซึ่งขนาดไม่ได้ใหญ่มากนัก ยิ่งถูกเก็บรักษาเอาไว้ในตู้ควบคุมอุณหภูมิที่ทำจากกระจกกันกระสุน และเวลาเข้าชมก็ถูกกันโดยราวกั้นไกลหลายเมตรทำให้ผู้คนที่พากันเดินทางไปชมภาพของโมนาลิซ่าได้เห็นภาพของเธอเล็กแค่นิดเดียว
แต่กระนั้นก็ไม่ได้ลดจำนวนผู้เข้าชมลงเลย เพราะใครๆ ก็ต่างอย่างจะเดินทางไปดูภาพวาดของหญิงสาวที่ดูราวกับมีชีวิต ด้วยสายตาที่ราวกับมองตามเราได้ตลอดเวลาและรอยยิ้มตรงมุมปากที่ทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกดจนยากที่จะละสายตา

MoMA New York & The Starry Night

Museum of Modern Art
Cr. Archdaily

Location : New York, USA

MoMA หรือ Museum of Modern Art เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ชื่อดังหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ยิ่งเมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางมหานครนิวยอร์คแล้วยิ่งทำให้ผู้คนพากันมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย เพื่อมาชมผลงานศิลปะมากมายหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด รูปปั้น ภาพถ่าย สิ่งพิมพ์ หนังสือเก็บรวบรวมผลงานของศิลปินต่างๆ ไปจนถึงภาพยนตร์และสื่อร่วมสมัยต่างๆ โดยงานศิลปะเหล่านี้จะถูกรวบรวมภายใต้คอนเซป “งานศิลปะสมัยใหม่ หรือ แรงบันดาลใจให้กับศิลปะยุคใหม่”
ในบรรดางานศิลปะเหล่านั้น ก็มีผลงานเลื่องชื่องานหนึ่งที่ถูกวาดขึ้นในปี 1889 โดยศิลปินชื่อดังอย่าง Vincent van Gogh (วินเซนต์ แวนโก๊ะ) ซึ่งกำลังรักษาตัวจากอาการโรคซึมเศร้าและบาดแผลจากการศูนย์เสียหู้างซ้ายอยู่ในโรงพยาบาล ด้วยฝีมือทางด้านงานศิลป์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้งานศิลปะที่เขาได้สร้างสรรค์ขึ้นมาถ่ายทอดอารมณ์เศร้าหมองและหดหู่ของผู้ป่วยออกมาได้เป็นอย่างดี
The Starry Night
Cr. cultous
ว่ากันว่าทิวทัศน์ของภาพเป็นมุมมองจากหน้าต่างห้องพักผู้ป่วยของเขาในช่วงฟ้าใกล้จะสาง ก่อนที่ตะวันจะขึ้นและดวงจันทร์และหมู่ดาวกำลังจะหายไป แต่ภายหลังพบว่าทิวทัศน์ดังกล่าวไม่ตรงกับวิวจากห้องพักผู้ป่วยของแวนโก๊ะเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าภาพนี้ถูกถ่ายทอดมาจากจินตนาการของแวนโก๊ะทั้งหมด
และภาพวาดนั้นก็คือ The Starry Night หรือที่เราอาจรู้จักกันในชื่อ ‘ราตรีประดับดาว’ เป็นภาพวาดสีน้ำมันลงบนผืนผ้าใบขนาด 28.7 x 36.25 นิ้ว (73.7 x 92.1 ซม.) ด้วยเทคนิค impasto หรือเทคนิคที่ป้ายสีหนาๆ ลงบนผืนผ้าใบจนทำให้ภาพดูมีมิติ โทนสีของภาพเน้นการใช้สีโทนมืดอย่างสีดำและสีน้ำเงิน เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกขุ่นมัวสิ้นหวังของจิตรกรลงบนผลงานของเขา บ้างก็ว่าผลงานนี้แฝงไปด้วยความหมายทางศาสนา เพราะบ้านเรือนที่ส่วนล่างของภาพนั้นดูเป็นปกติ แต่ด้านบนนั้นกลับสว่างไสวและใช้การวาดภาพที่ดูม้วนวนราวกับก้นหอย ดูคล้ายภาพฝันมากกว่าความเป็นจริง
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ความหมายของงานศิลปะชิ้นนี้จะยังคงไม่กระจ่างจนถึงปัจจุบัน แต่เนื่องจากเป็นผลงานที่ทรงพลัง ทั้งยังเป็นผลงานชิ้นท้ายๆ ของแวนโก๊ะ และในปี 1935 ผลงานชิ้นนี้ก็ได้ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ MoMA ซึ่งได้รับกระแสตอบรับและความสนใจดีเยี่ยม จนในปี 1939 ทางพิพิธภัณฑ์ได้ดำงานการติดต่อเพื่อขอนำภาพ The Starry Night มาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์อย่างถาวรจนถึงปัจจุบัน

LACMA & Jackson Pollock’s Number 1

Los Angeles Contemporary Museum Art
Cr. LACMA

Location : Los Angeles, USA

ในสหรัฐอเมริกายังมีพิพิธภัณฑ์อีกแห่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีปอย่างลอสแองเจลิส ซึ่งเก็บรักษาผลงานศิลปะเลื่องชื่อเอาไว้ โดยทุก ๆ ปี Los Angeles County Museum of Art หรือ LACMA จะมีนักท่องเที่ยวมากมาย กว่าล้านคนหลั่งไหลเข้าชมผลงานศิลปะ และนิทรรศการการจัดแสดงกว่า 150,000 ชิ้น ที่ครอบคลุมประวัติศาสตร์ของศิลปะตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน และนอกจากนิทรรศการศิลปะแล้ว พิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงภาพยนตร์ และคอนเสิร์ตหมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปีอีกด้วย
และนอกจากงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์แล้ว ตัวพิพิธภัณฑ์เองยังมีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยโคมไฟกว่า 300 ต้นที่มีความสูงต่ำแตกต่างกันไปและจะเปิดไฟสว่างไสวสวยงามในยามค่ำคืน ล้อมรอบด้วยสวนปาล์มอีกนับร้อย เป็นจุดแรกที่ผู้มาเยือนต้องผ่านก่อนจะเข้าไปชื่นชมกับงานศิลปะที่อยู่ภายใน
Jackson Pollock Number 1 Lavender Mist
Cr. jackson-pollock.org
หนึ่งในผลงานศิลปะที่ควรค่าแก่การไปชมด้วยสายตาตัวเองในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือ Number 1, Number 1A หรือ Lavender Mist ผลงาน Abstract ของ Jackson Pollock (แจ็คสัน พอลล็อก) ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ศิลปะที่แตกต่างจากงานศิลปะทั่วไปในยุคนั้น โดยพอลล็อกได้ใช้วิธีการหยดสีจากแท่งไม้หรือเทสีลงบนผืนผ้าใบขนาด 1.73 x 2.64 เมตรที่วางบนพื้นในระนาบแนวนอน เกิดเป็นงานศิลปะนามธรรมอันเลื่องชื่อ ที่แสดงถึงจิตวิญญาณและความอิสระของจิตรกร ภายใต้กฏเกณฑ์ของงานศิลปะที่ยังคงมีการเลือกใช้สี และจัดองค์ประกอบภาพอย่างมีเอกลักษณ์
ในครั้งแรกที่ผลงานชิ้นนี้ถูกจัดแสดง พอลล็อกยังไม่สามารถขายผลงานชิ้นนี้ได้ ดังนั้นในการจัดแสดงเดี่ยวครั้งถัดมาเขาจึงเติม A เข้าไปหลังชื่อเพื่อไม่ให้สับสนกับผลงานชิ้นอื่นๆ ของเขา และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ขายผลงานชิ้นนี้ให้กับ MoMA ในส่วนนี้ไม่มีข้อมูลว่าภายหลังชิ้นงานกลายเป็นสมบัติของ LACMA ได้อย่างไร ทว่ามีเรื่องน่าสนใจอีกอย่างของพอลล็อกเกี่ยวกับเรื่องการตั้งชื่อผลงานของเขา
งานศิลปะทุกชิ้นของพอลล็อกนั้นจะถูกเรียกเป็นตัวเลข แม้ว่าภรรยาของพอลล็อกจะกล่าวว่าผลงานทุกชิ้นมีชื่อเรียก แต่พอลล็อกมักจะเรียกผลงานของเขาด้วยหมายเลขมากกว่า เพื่อให้ผู้ที่มาชมผลงานของเขาไม่ถูกชักจูงความคิดว่าผลงานของเขาควรจะเป็นภาพอะไร และมองงานศิลปะด้วยใจเปิดกว้าง เห็นตัวตนและคุณค่าของงานศิลปะทุกชิ้นของเขาด้วยใจที่ใช้มองงานศิลป์อย่างแท้จริงนั่นเอง

Austrian Gallery Belvedere & The Kiss

Austrian Gallery Belvedere
Cr. Lukas Schaller via belverede.at

Location : Vienna (Wien), Austria

ในออสเตรียเองก็มีพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งที่น่าสนใจและควรไปเยี่ยมเยือน ได้แก่ Austrian Gallery Belvedere ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเบลเวอเดียร์ (Belvedere) ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรค (Baroque) เป็นทั้งหนึ่งในอาคารพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และสถานที่จัดเก็บงานศิลปะร่วมสมัยมากมาย ตั้งแต่งานศิลปะร่วมสมัยในยุคกลาง มาจนถึงงานศิลปะร่วมสมัยในปัจจุบัน
ด้วยความเชื่อที่ว่างานศิลปะและวัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อชนชั้นสูงเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ควรสืบทอดให้เป็นที่รู้จักแก่ทุกคนที่สนใจโดยไม่มีการแบ่งแยก ดังนั้นทีมพิพิธภัณฑ์จึงตัดสินใจใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของพระราชวังเบลเวอเดียร์ที่แต่เดิมเป็นส่วนห้องรับรองแขกและโถงจัดเลี้ยง มาเป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะอันทรงคุณค่า
The Kiss
Cr. icanvas.com
หนึ่งในงานศิลปะอันเป็นจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือภาพ The Kiss ซึ่งวาดโดย Gustav Klimt (กุสตาฟ คลิมท์) จิตรกรชาวออสเตรีย หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแบบ Vienna Seccession หรือ งานศิลปะที่ประยุกต์สไตล์ Art Nouveau ที่อ่อนช้อยงดงาม เข้ากับความหนักแน่นและชัดเจนแบบเยอรมัน แม้ในช่วงที่คลิมท์เริ่มสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ เขาจะตัดสินใจออกจากกลุ่ม Seccestionist มาแล้วเนื่องจากมีแนวทางที่ไม่ตรงกัน แต่งานของเขาก็ยังมีกลิ่นอายของงานศิลปะแบบเดิมอยู่
ส่วนตัวคลิมท์เองชื่นชอบการสร้างสรรค์งานศิลปะจากทองคำเปลว (Gold Leaf) อยู่แล้ว สังเกตุได้จากผลงาน Portrait of Adele Bloch -Bauer I ภาพเหมือนของ Adele Bloch -Bauer เพื่อสนิทและผู้อุปถัมป์ของคลิมท์ ที่ถูกสร้างสรรค์ผลงานขึ้นด้วยเทคนิคที่คล้ายกัน (อ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่)
The Kiss เป็นงานศิลปะที่ใช้เทคนิคการระบายสีน้ำมันและติดแผ่นทองคำเปลวลงบนผืนผ้าใบขนาด 180.1 x 180.1 ซม. เป็นภาพของคู่รักที่กำลังแสดงความรักแก่กันด้วยการจุมพิตอยู่ในสวนดอกไม้ โดยชายหนุ่มได้โอบกอดหญิงสาวที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้า ซึ่งเชื่อกันว่าหญิงสาวในภาพนั้นเป็นหนึ่งในคนรักของคลิมท์ พื้นหลังไม่มีการวาดลงรายละเอียดเอาไว้ราวกับเป็นการสื่อถึงความรู้สึกของคู่รักทั้งสองที่ไม่สนใจโลกภายนอก รายกับโลกนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคน
มีคำกล่าวของ Edgar Degas ที่ว่า “Painting is easy when you don’t know how, but difficult when you do” หรือ งานศิลปะนั้นสามารถสร้างสรรค์ได้อย่างง่ายดายเมื่อเราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่จะยากเย็นเมื่อเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร
เป็นคำคมที่สะท้อนความยากลำบากในการสร้างสรรค์แต่ละผลงานของเหล่าศิลปินออกมา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นผลงานที่น่าไปชื่นชมด้วยตาของตนเองสักครั้งจนได้… ดังนั้นหากใครที่ได้อ่านบทความนี้แล้วเกิดสนใจขึ้นมา หรือมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองต่างๆ อันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ก็ลองแวะเข้าไปชมงานศิลปะเหล่านี้กันนะคะ
สามารถติดตามผลงานต่าง ๆ ของทาง Bareo ได้ที่ช่องทางเว็บไซต์ของ Bareo หรือทาง Facebook : Design by Bareo ที่จะคอยอัพเดทข่าวสาร งานดีไซน์ และผลงานการออกแบบตกแต่งภายในมากมาย ให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้ และความสนุกตลอดทั้งปี
หรือหากสนใจจะออกแบบตกแต่งภายในกับทาง Bareo ทางเราก็มีบริการออกแบบภายในครบวงจร โดยสามารถอ่านรายละเอียดการให้บริการของเราได้ที่นี่ คลิ๊ก
ขอบคุณข้อมูลจาก
wikipedia
minimore
isriya
britannica
vangoghgallery
jackson-pollock.org
terraingallery
artsy
artsandculture.google

CONTENT RELATED

NEW CONTENT

PORTFOLIO