Charlie Chocolate Factory

ภาพยนตร์เรื่อง “ Charlie Chocolate Factory ” หรือ “ ชาร์ลีกับโรงงานช็อกโกแลต ” (2005) ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่สร้างสรรค์แรงบันดาลดาลใจให้กับเด็กๆ ที่ชื่นชอบขนมหวาน อย่างเช่น ช็อกโกแลต ทั้งยังช่วยส่งเสริมจินตนาการให้เด็กๆ ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่สำคัญยังไม่ลืมสอดแทรกสาระและข้อคิดดีๆ ไว้ในเรื่องด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงครองใจคอภาพยนตร์แทบทุกเพศ ทุกวัย มาได้อย่างยาวนาน
ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง โรงงานช็อคโกแล็ตมหัศจรรย์ ( Charlie and the Chocolate Factory ) ที่เขียนโดย Roald Dahl นักเขียนชาวอังกฤษผู้มากฝีมือและฝากผลงานเขียนนิยายสำหรับเด็กมากมาย โดยนอกจากเรื่อง โรงงานช็อคโกแล็ตมหัศจรรย์ที่ได้สร้างเป็นหนังแล้วแล้ว ก็ยังมีผลงาน มาทิลด้า นักอ่านสุดวิเศษ ( Matilda ), ย.จ.ด. ( The BFG ) ที่ได้สร้างเป็นหนังเช่นกัน
เรื่องนี้ได้นักแสดงนำมากฝีมืออย่าง จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) มารับบทเป็น วิลลี่ วองก้า (Willy Wonka) และนักแสดงเด็กที่ตอนนี้เติบโตมาเป็นนักแสดงมากคุณภาพ เฟรดดี้ ไฮร์มอร์ (Freddie Highmore) รับบทเป็น ชาร์ลี บั๊คเก็ต (Charlie Bucket) เด็กหนุ่มยอดกตัญญู แต่ฐานะยากจน ผู้โชคดีผู้ได้ตั๋วทองใบสุดท้ายได้เข้าไปชมโรงงานช็อกโกแลตของ วิลลี่ วองก้า
เพราะเป็นเรื่องราวแฟนตาซีส่งเสริมจินตนาการและสอดแทรกข้อคิดดีๆ ให้กับเด็กๆ ได้ชม ภาพยนตร์เรื่อง “ Charlie Chocolate Factory ” จึงเต็มไปด้วยขนมหวานมากมาย ซึ่งมีทั้งแบบขนมจริงๆ และขนมแฟนซีจำนวนมหาศาลที่แม้ไม่มีจริง แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจได้แบบสุดๆ ไปเลย
แล้วขนมใน Charlie Chocolate Factory มีอะไรชวนหรรษาบ้าง มาดูกันค่ะ

Wonka

Credit : Karuntee Cap
ช็อกโกแลตวองก้า (Wonka) เปรียบดั่งขนมชิ้นเอกของเรื่อง เพราะเป็นช็อกโกแลตที่ถูกส่งออกทั่วโลก และมีตั๋วทอง (Golden Ticket) ซ่อนด้านในซองอยู่จำนวน 5 ใบ สำหรับเด็กๆ ผู้โชคดี ที่จะได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานช็อกโกแลตของ วิลลี่ วองก้า
Credit : Charlie and the Chocolate Factory Poster (2005)
โดยเด็กทั้ง 5 คน ได้แก่ เด็กรักการกิน “ออกุสตุส กลูป” (Augustus Gloop), สาวน้อยนักเคี้ยวหมากฝรั่ง “ไวโอเลต เบอรูการ์ด” (Violet Beauregarde), คุณหนูจอมเอาแต่ใจ “เวรูก้า ซอลต์” (Veruca Salt), หนุ่มน้อยเกมเมอร์ “ไมค์ ทีวี” (Mike Teavee) และ พระเอกตัวน้อยของเรา “ชาร์ลี บั๊คเก็ต” (Charlie Bucket)
Credit : Karuntee Cap
ช็อกโกแลตวองก้า มีด้วยกัน 4 รสชาติ ได้แก่ Fudgemallow Delight , Chilly Chocolate Creme, Triple Dazzle Caramel และ Nutty Crunch Surprise
Credit : Karuntee Cap
นอกจากนี้ช็อกโกแลตวองก้ายังปรากฏในฉากห้องห้องโทรทัศน์ ซึ่งวิลลี่ วองก้าได้ทำการทดลอง เพื่อส่งช็อกโกแลตเข้าไปในโทรทัศน์แล้วคนดูสามารถหยิบช็อกโกแลตออกมาจากโทรทัศน์ได้เลย แต่ตอนขนส่งต้องใช้ช็อกโกแลตขนาดใหญ่และเมื่อมาอยู่ในโทรทัศน์จะเล็กลง ทำให้คนดูสามารถหยิบออกมา พร้อมทานได้ง่ายๆ เลย
ด้วยความโด่งดังของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทางบริษัทเนสท์เล่ได้นำไอเดียของช็ิอกโกแลตวองก้า มาผลิตและวางจำหน่ายในชีวิตจริง แต่รูปแบบช็อกโกแลตของเนสท์เล่ (Nestle’) จะแตกต่างจากในภาพยนตร์ ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว
เดิมทีได้รับมอบหมายจาก โรอัลด์ ดาห์ล เจ้าของลิขสิทธิ์หนังสือ Charlie and the Chocolate Factory ให้นำชื่อ Wonka ซึ่งเป็นช็อกโกแลตในหนังนำมาผลิตเพื่อใช้ในการถ่ายทำหนังปี 1971 นำแสดงโดยยีน ไวล์เดอร์ ซึ่งทางเนสท์เล่ได้ทำออกมาทั้งหมด 3,000 ชิ้นเท่านั้น
Credit : The Mirror
ต่อมาในปี 1988 เนสท์เล่จึงตัดสินใจผลิตช็อกโกแลต Wonka เพื่อจำหน่ายจริง และวางขายที่ชิคาโก้เป็นเมืองแรก และในปี 2005 ได้มีการรีเมค Charlie and the Chocolate Factory ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนำแสดงจอห์นนี่ เดปป์ และหนังก็โด่งดังเป็นพลุแตก ช็อกโกแลต Wonka จึงถูกผลิตและจำหน่ายไปทั่วโลกนั่นเอง
Wonka ที่จำหน่ายในยุโรปมีด้วยกันทั้งหมด 3 รสชาติ ได้แก่ Nutty Crunch Surprise, Whipple-Scrumptious Fudgemallow Delight และ Triple Dazzle Caramel ส่วนในประเทศญี่ปุ่นจะมีด้วยกัน 2 รสชาติ คือ Whipple-Scrumptious Caramel Delight และ Mysterious Spit-Spat Bar (ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว)
ซึ่งข้างในแต่ละซองของ Wonka นั้น มีการใส่ตั๋วทองเข้าไปด้วย แต่เพื่อให้เด็กๆ ได้ลุ้นสนุกๆ และเก็บสะสมเท่านั้น ไม่สามารถนำเข้าไปชมภายในโรงงานช็อกโกแลตเหมือนในหนังได้

วิลลี่ วองก้า พร้อมพาทุกคนตะลุยห้องประดิษฐ์ Inventing Room

ห้องประดิษฐ์ของวองก้า เป็นห้องที่มีบทบาทสำคัญที่สุดของโรงงานช็อกโกแลต เนื่องจากภายในห้องเต็มไปด้วยขนมที่ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองทำอยู่จำนวนมาก แต่ในเรื่องได้เล่าขนมเด่นๆ ไว้ 3 อย่าง ได้แก่

The Everlasting Gobstoppers

Credit : Karuntee Cap
ขนม The Everlasting Gobstoppers หรือ ลูกอมนิจนิรันดร์ ลักษณะเป็นลูกกลมๆ สีแดง เป็นขนมที่คุณวองก้าภาคภูมิใจมาก เพราะเขาตั้งใจสร้างขึ้นมาสำหรับเด็กที่พ่อแม่มีเงินน้อย ไม่สามารถมีเงินซื้อขนมได้ทุกวัน ซึ่งจุดเด่นของมันคือ เมื่อได้อมลูกอมนี้แล้วจะสามารถกินได้ตลอดเวลา รสชาติไม่เปลี่ยน และขนาดของลูกอมจะไม่มีวันเล็กลง ทำให้เด็กๆ ไม่ต้องซื้อขนมบ่อยๆ ให้สิ้นเปลืองนั่นเอง
Credit : Biggo .com
และในชีวิตจริง The Everlasting Gobstoppers ถูกจำหน่ายภายใต้แบรนด์ Willy Wonka Candy Company ของเนสท์เล่ เจ้าเดิม โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519 โดย Breaker Confections และจำหน่ายที่ชิคาโกเป็นที่แรกเช่นกัน ซึ่ง The Everlasting Gobstoppers ของเนสท์เล่ก็ผลิตออกมาได้ใกล้เคียงกับลูกอมในตัวหนัง ที่มีลักษณะทรงกลม อมได้นาน มีหลายรสชาติ แต่ในเนื้อเรื่องของหนังจะกล่าวว่าถ้าคุณพยายามจะเคี้ยวลูกออมนี้ฟันอาจจะหักได้ แต่ที่เนสท์เล่ผลิตออกมานั้นสามารถเคี้ยวได้เมื่อคุณอมลูกอม The Everlasting Gobstoppers ได้นานพอแล้ว

Three Course Dinner Chewing Gum

Credit : Karuntee Cap
หมากฝรั่ง 3 มื้อ หรือThree Course Dinner Chewing Gum เป็นหมากฝรั่งที่เหมือนทั่วไป แต่ความพิเศษของมันก็คือ กินแล้วอิ่มเหมือนได้ทานอาหารถึง 3 มื้อ ได้แก่ มื้อเช้า กลางวัน และเย็น แถมเมื่อทานเข้าไปแล้ว จะได้รสชาติความกลมกล่อมของอาหารมื้อหลักอย่างซุปมะเขือเทศ เนื้อย่าง และมันฝรั่งอบด้วย
Credit : Karuntee Cap
ในเรื่องวองก้าได้บอกว่าขนมชนิดนี้ยังทำการทดลองไม่สมบูรณ์ เพราะจริงๆ แล้ว ยังมีในส่วนรสชาติของของหวานที่ยังไม่เสร็จสิ้น คือ พายบลูเบอร์รี่และไอศกรีม ถ้าใครกินแล้วจะเกิดเอฟเฟคตามมา ดังในภาพยนต์ที่เด็กหญิงไวโอเล็ต ซึ่งเธอมีความภาคภูมิใจในความเป็นแชมป์เคี้ยวหมากฝรั่ง และพูดอย่างเอาแต่ใจว่าเธอจะต้องได้เป็นเด็กคนแรกที่ได้ลิ้มลองหมากฝรั่งนี้ จากนั้นก็กินหมากฝรั่งนี้เข้าไป ทั้งๆ ที่วองก้าได้ห้ามแล้วว่าการทดลองยังไม่สมบูรณ์ จนร่างเธอพองตัวกลมโต มีสีม่วง เหมือนกับลูกบลูเบอร์รี่ ขนาด 10 ฟุต จนชาวอุมป้าลุมป้าที่ดูแลโปรเจคหมากฝรั่งนี้ ต้องกลิ้งเธอออกไปเพื่อหาวิธีทำให้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม

Hair Toffee

Credit : Karuntee Cap
ขนมนี้มีคุณประโยชน์ตรงตามชื่อ Hair Toffee เพราะถ้าใครกินแล้ว สามารถปลูกผม ปลูกหนวด และเครา ได้ตามต้องการ แต่การทดลองของขนมนี้ก็ยังมีข้อผิดพลาด เพราะในเรื่อง ชาวอุมป้าลูมป้าได้ทำการทดลอง ปรากฎว่าผมยาว หนวดเคราเฟิ้มลากพื้นมาทันที
แต่แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นในหนังหรือโลกแห่งความเป็นจริง การทำธุรกิจย่อมมีอุปสรรคเสมอ… ซึ่งอุปสรรคที่กล่าวถึงในภาพยนต์เรื่อง Charlie Chocolate Factory ก็คือ ขนมไอเดียความคิดและสูตรของวิลลี่ วองก้า ที่โดนขโมยไปโดยคู่แข่ง….

ไอศกรีมไม่ละลาย

Credit : Karuntee Cap
ก่อนหน้าที่วองก้าจะเปิดโรงงานช็อกโกแลตให้เยี่ยมชม เขาเคยทำไอศกรีมช็อกโกแลตที่ไม่ละลาย แม้จะอยู่ในอากาศร้อนๆ แต่ก็ต้องมาโดนคู่แข่งตัดหน้าขโมยสูตรโดยส่งคนมาแฝงตัวภายในโรงงานของเขา

หมากฝรั่งยิ่งเป่ายิ่งใหญ่

Credit : Karuntee Cap
วองก้าคิดค้นวิธีการให้เด็กๆ ได้สนุกกับการเคี้ยวหมากฝรั่งมากยึ่งขึ้น โดยการทำให้หมายฝรั่งยิ่งเป่าก็ยิ่งใหญ่โต มหึมาได้เท่าที่คนจะเป่าไหว
และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด… อุปสรรคที่เกิดขึ้นเพราะขายดีเกินไปจนวัตถุดิบสินค้าขาดตลาดจนไม่สามารถผลิตต่อได้

นกช็อกโกแลต

Credit : Karuntee Cap
นกช็อกโกแลตเป็นช็อกโกแลตที่กล่าวถึงในซีนที่ปู่ของชาร์ลีเล่าถึงสมัยที่ยังทำงานร้านช็อกโกแลตกับคุณวองก้า และสินค้าขายดีมาก จนคุณปู่ต้องบอกว่านกช็อกโกแลตขาดตลาด ขอให้วองก้าให้ทำการผลิตเพิ่ม
อย่างที่ชาร์ลีได้บอกในเรื่องไว้ว่าขนมสำหรับเด็กไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ซึ่งถ้าเกิดว่าขนมที่วิลลี่ วองก้าคิดค้นขึ้นมามีจริงทุกอย่าง โลกเราก็คงหรรษาและบันเทิงมากๆ เลย แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วจริงไหมคะทุกคน?
สามารถติดตามผลงานต่าง ๆ ของทาง Bareo ได้ที่ช่องทางเว็บไซต์ของ Bareo หรือทาง Facebook : Design by Bareo ที่จะคอยอัพเดทข่าวสาร งานดีไซน์ และผลงานการออกแบบตกแต่งภายในมากมาย ให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้ และความสนุกตลอดทั้งปี
หรือหากสนใจจะออกแบบตกแต่งภายในกับทาง Bareo ทางเราก็มีบริการออกแบบภายในครบวงจร โดยสามารถอ่านรายละเอียดการให้บริการของเราได้ที่นี่ คลิ๊ก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
collider .com
charlieandthechocolatefactoryfilm.fandom .com
wikipedia

CONTENT RELATED

NEW CONTENT

PORTFOLIO