Misty Mountain
หุบเขา ทะเลหมอก

เมื่อฤดูกาลแห่งความหนาวมาเยือน ประเทศไทยก็ดูคึกคักขึ้นมาทันที เพราะหลายๆ คนเตรียมหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกันอย่างสนุกสนาน และหนึ่งในไฮไลท์ที่คนชอบไปในช่วงอากาศเย็นๆ แบบนี้ คือการไปสัมผัสบรรยากาศความงามของทะเลหมอกนั่นเอง ซึ่งจุดชมทะเลหมอกดังๆ มีมากมายเลยทีเดียวค่ะ
ทะเลหมอกในไทยก็สวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยค่ะ มีให้ชมกันแทบทุกภาคเลย ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ซึ่งเราจะพาคุณไปทำความรู้จักสถานที่ชมทะเลหมอกยอดนิยมกันค่ะ

ภูทับเบิก

Credit : Daraweekly
หน้าหนาวเดินทางมาถึงทีไร ภูทับเบิกจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่อยากไปสัมผัสอากาศเย็นสบาย และชมธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะไร่กะหล่ำปลี ดอกพญาเสือโคร่ง วัดวาอาราม กังหันลม และชมวิวทะเลหมอก เป็นต้น
ภูทับเบิก ตั้งอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่ห่างไกลจากรุงเทพประมาณ 425 กิโลเมตรหากเดินทางโดยรถส่วนตัว รถประจำทาง จะใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง 30 นาที ก่อนจะถึงเขาที่มีความสูง 1,768 เมตร ซึ่งถือว่าภูทับเบิกเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาเพชรบูรณ์ ทำให้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และที่สำคัญภูเขาแห่งนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเกษตรสำหรับชาวม้งอีกด้วย
และจุดชมวิวทะเลหมอกที่ภูทับเบิกมีด้วยกันหลายที่ เช่น จุดชมวิวภูทับเบิก และตามรีสอร์ตต่างๆ นับเป็นสถานที่ชมทะเลหมอกชั้นเยี่ยมเลย โดยเฉพาะรีสอร์ตที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง มักจะออกแบบให้มีหน้าต่างกว้างและมีระเบียงเพื่อให้คุณสามารถเห็นทะเลหมอกได้ชัดเจนและนาน ตั้งแต่รอชมพระอาทิตย์ขึ้นไปจนถึงเกือบ 9-10 โมงเช้าเลยทีเดียว ก่อนที่หมอกจะค่อยๆ คลายตัวและสลายไป หรือใครที่อยากสัมผัสไอดินกลิ่นหมอกก็สามารถเช่าพื้นที่ของรีสอร์ตกางเต็นท์นอนดูดาวกลางคืนและรอชมทะเลหมอกตอนเช้าๆ ก็สามารถทำได้
สำหรับใครที่สนใจไปชมบรรยากาศทะเลหมอกที่ภูทับเบิก แนะนำให้มาในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน แม้จะเป็นช่วงฤดูฝนแต่คุณจะได้เห็นทะเลหมอกที่สวยงามและอลังการมากที่สุด อีกทั้งยังได้เห็นความชุ่มฉ่ำและอุดมสมบูรณ์ของไร่กะหล่ำปลีหลายร้อยไร่ ต้นไม้อันเขียวขจีเต็มพื้นที่ไปหมด แต่ถ้ามาภูทับเบิกในช่วงหน้าหนาวคุณอาจจะพลาดทะเลหมอก เพราะอาจมีเป็นบางวัน แต่คุณจะได้ดื่มด่ำกับอากาศที่หนาวเย็น และความสวยสะพรั่งของดอกไม้นานาพันธุ์แทน เช่น พญาเสือโคร่ง ชมพูพันธุ์ทิพย์ เป็นต้น

เขาค้อ

Credit : i.pinimg .com/
ถ้าเขาไม่ง้อไปเขาค้อกัน วลียอดฮิตของสายโพสต์โซเซียล ที่ใครเห็นก็แอบอิจฉาคนได้เที่ยวและได้สัมผัสบรรยากาศดีๆ ที่เขาค้อ
เขาค้ออุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าทึบ หุบเขา น้ำตก และแม่น้ำ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการอากาศเย็นสบายต่างจากที่อื่นๆ อยู่ไม่ไกลจากภูทับเบิกมากนัก เพราะตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน นั่นก็คือ เพชรบูรณ์ ลักษณะของภูมิอากาศจึงไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี และเขาค้อก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ขึ้นชื่อว่ามีจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุด
โดยจุดชมวิวทะเลหมอกที่เขาค้อมีหลายที่ด้วยกัน เช่น วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ที่มักมีหมอกจางๆ ปกคลุม วัดกองเนียมกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นคละเคล้าหมอกจางๆ ภูแผงม้าในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า คุณสามารถสัมผัสทะเลหมอกปกคลุมได้อย่างใกล้ชิด แถมยังสามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ด้วย และพื้นที่ไปรษณีย์เขาค้อ เข้าไปกางเต็นท์นอนรอชมทะเลหมอกช่วงเช้าๆ ได้ รวมถึงจุดชมวิวเขาย่าที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,305 เมตร เป็นยอดเขาสูงสุดของอำเภอ มีทิวทัศน์มุมกว้างอันน่าทึ่งของภูมิประเทศที่เป็นภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก และเขาตะเคียนโงะ ที่คุณสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ชมทิวทัศน์อันงดงาม และดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเหนือทะเลหมอกยามเช้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เวลาที่ดีที่สุดในการชมทะเลหมอกที่เขาค้อคือช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ป่าเขียวขจี โอกาสที่จะได้เห็นวิวหมอกมีแทบทุกวัน และหมอกจะมีให้เห็นจนถึงเวลาประมาณ 10.00 น. ซึ่งแตกต่างจากช่วงฤดูหนาวที่หมอกจะกระจายตัวประมาณ 7 โมงเช้า
ยังมีสถานที่ชมทะเลหมอกอีกหลายที่ในประเทศไทยที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เช่น ภูชี้ฟ้า แก่งกระจาน ดอยเสมอดาว ฯลฯ อย่าลืมลองหาโอกาสไปเยือนกันสักครั้งในชีวิตนะคะ และนอกจากในเมืองไทยแล้ว ต่างประเทศก็มีสถานที่ชมทะเลหมอกสวยๆ ให้ชมเช่นกัน เช่น.…

Tomamu Unkai Terrace (โทนามุ อุนไค เทอเรซ)

Credit : snowtomamu.jp
ข้ามมาที่ดินแดนอาทิตย์อุทัย ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก นั่นก็คือ ญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากศิลปะและวัฒนธรรมที่โดดเด่นแล้ว ประเทศญี่ปุ่นยังมีจุดชมวิวทะเลหมอกที่โด่งดังชื่อว่า Tomamu Unkai Terrace (โทนามุ อุนไค เทอเรซ) ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางพื้นที่ภูเขาสูงกว่า 1,088 เมตร ของภูเขาโทมามุ จังหวัดฮอกไกโด
ในภาษาญี่ปุ่น คำว่า ‘อุนไค’ แปลว่า ‘ทะเลเมฆ’ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าทึ่ง เกิดจากความกดอากาศสูงและเกิดการระบายความร้อนด้วยการแผ่รังสี จนมีทะเลหมอกที่กว้างใหญ่เกิดขึ้น และเคลื่อนไหวราวกับมีไดนามิก เหมือนหมอกกำลังลอยตัวอยู่ใกล้ๆ ให้คุณได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด
จุดชมวิวทะเลหมอก Tomamu Unkai Terrace ยอดนิยม คือ Hoshino Resorts Tomamu มีความหมายว่า “ระเบียงทะเลเมฆ” เป็นรีสอร์ตสุดฮิตที่มีจุดชมวิวทะเลหมอกหลายจุด และล่าสุดที่เพิ่งมีการปรับปรุงใหม่ไปเมื่อปี 2564 โดยได้ขยายพื้นที่ดาดฟ้าให้ลึกลงไปในก้อนเมฆมากกว่าเดิม เพื่อให้นักท่องเที่ยวใกล้ชิดทะเลหมอกได้มากขึ้น และจุดชมวิวเด่นๆ มีดังนี้
Credit : hokkaidolove .jp
Cloud Pool จุดชมวิวทะเลหมอกที่ออกเป็นรูปเปลญวน ลักษณะคล้ายก้อนเมฆขนาดใหญ่ สามารถจุคนได้มากถึง 10 คน และมีความสูงกว่า 8 เมตร ให้คุณได้ชมวิวได้อย่างทั่วถึง
Credit : i.pinimg .com
Cloud Bar เป็นจุดชมวิวที่สูงและเสียว เพราะคลาวด์บาร์มีเก้าอี้สูง 3 เมตร ให้คุณได้นั่งมองทิวทัศน์อันงดงามของอุนไคและภูเขาที่อยู่เบื้องล่าง
Credit : i.pinimg .com
Cloud Walk คล้ายๆ กับ Sky Walk บ้านเรา ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบทางเดิน ยื่นออกไปจากเขา เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับชมทะเลมองได้อย่างใกล้ชิดราวกับเดินอยู่บนก้อนเมฆ พร้อมรับชมทัศนียภาพได้แบบพาโนรามา
Credit : hokkaidolove .jp
Cloud Bed มุมนี้เป็นจุดชมวิวที่ออกแบบให้มีที่นั่งนุ่มสบาย เป็นหมอนอิงที่ทำขึ้นในรูปของ “Cloud Droplet” ลักษณะคล้ายกับหยดน้ำหลากหลายขนาดเกาะกลุ่มกันคล้ายก้อนเมฆ เพื่อให้นั่งท่องเที่ยวเข้าถึงอารมณ์ในการชมทะเลหมอกได้มากขึ้น
Credit : snowtomamu .jp
Contour Bench ม้านั่งขนาดยักษ์ที่ออกแบบตามแนวโค้งของภูเขา ถูกจัดวางเป็นมุมและความสูงที่แตกต่างกันไปตามธรณีสัณฐานตามธรรมชาติ เป็นจุดชมวิวที่สามารถจุคนได้ถึง 200 คนต่อครั้งเลยทีเดียว
สำหรับใครที่สนใจอยากไปชมทะเลหมอกที่ Tomamu Unkai แนะนำให้ไปช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคมจะเห็นทะเลหมอกหนาสวยงามเต็มพื้นที่ ซึ่งในการเข้าชมจะมีการเก็บค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่ 1,900 เยน นักเรียนประถม 1,200 เยน สัตว์เลี้ยง 500 เยน
**การเดินทาง :
– นั่งรถไฟสาย Super Ozora ขึ้นจากสถานี JR Sapporo ลงที่ JR Tomamu ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที แล้วต่อรถบัสของรีสอร์ตเข้าไป ใช้เวลาอีกประมาณ 10 นาที
– นั่งรถไฟสาย Super Ozara ขึ้นจากสถานีรถไฟ JR Obihiro ลงที่ JR Tomamu ใช้เวลา 1 ชั่วโมง

Mount Batur, Bali

Credit : homeiswhereyourbagis .com
Mount Batur (เขาบาตูร์) หรือที่เรียกว่า Gunung Batur ตั้งอยู่ในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ 2 ชั่วโมงจาก Canggu/Seminyak และใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมงจาก Ubud เขตที่ภูเขาไฟตั้งอยู่คือเขต Kintamani (คินตามณี) ตั้งอยู่ที่ 5,600 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเลซึ่งสูง 11,717 เมตร
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเดินป่า ปีนเขาไปบริเวณยอดของเขาบาตูร์ เพื่อชมแอ่งภูเขาไฟและทิวทัศน์พระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งการเดินทางจากตีนเขาไปยังยอดเขามีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเดินเขาไปเอง ซึ่งนักเดินป่านิยมกัน เพราะสามารถเดินไปได้เรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หรือไปพร้อมกับไกด์ทัวร์ ชมทัศนียภาพอันงดงามของเขาบาตูร์และได้รู้ที่มาที่ไปของแต่ละจุด หรือใครที่อยากสะดวกสบาย ไม่อยากเหนื่อยกับการเดินขึ้นเขาก็เลือกรับบริการรับส่งแบบไป-กลับได้
จุดชมวิวที่สวยที่สุดบนเขาบาตูร์ก็คือบริเวณยอดเขา เพราะสามารถมองเห็นภาพวิวได้แบบพาโนรามา ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เพราะในช่วงเวลานั้นคุณจะได้เห็นความงามของแสงตะวันที่สาดส่องอาบไปทั่วทะเลหมอกที่ปกคลุมรอบๆ เขาด้านล่างเป็นบริเวณกว้าง เสมือนคุณได้ยืนอยู่บนเมฆขาวหรืออยู่ท่ามกลางสรวงสวรรค์ดีๆ นั่นเอง
หากคุณต้องการชมทะเลหมอก ช่วงเวลาที่เมฆลอยต่ำที่สุดและรอบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวโพลน แนะนำให้เดินทางมาในช่วง กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน จะเป็นช่วงที่หมอกหนาแน่นและสวยมากที่สุดค่ะ

Huangshan, China

Credit : exploringkiwis .com
Huangshan (หวงซาน) หรือภูเขาเหลือง (Yellow Mountain) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศจีนและใกล้กับเซี่ยงไฮ้ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศจีน เต็มไปด้วยภูมิทัศน์และประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติที่งดงาม ตื่นตาตื่นใจ ชื่อเสียงโด่งดังจากสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 5 ได้แก่ ต้นสนรูปทรงแปลกตา ยอดเขาหินที่งดงาม ทะเลหมอก น้ำพุร้อน และหิมะในฤดูหนาว
เขาหวงซานจึงคุ้มค่าแก่การเยี่ยมชมตลอดทั้งปี ในช่วงหน้าหนาวจะได้พบกับหิมะ และในฤดูร้อนจะเต็มไปด้วยทะเลหมอกกว้างใหญ่และหมอกที่ลอยอยู่ใกล้ยอดเขา พร้อมความงามของวิวทิวทัศน์ของต้นสนและทะเลเมฆที่สามารถมองเห็นได้จากบนยอดเขา โดยความงามเหล่านี้มักถูกนำไปถ่ายทอดลงบนภาพวาด และวรรณคดีจีน โบราณ ตลอดจนการถ่ายภาพสมัยใหม่ จนภูเขา Huangshan ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก
หากคุณปีนขึ้นไปบนยอดเขา จะพบว่าตัวเองอยู่เหนือระดับเมฆและปรากฏเป็นทะเลหมอกอยู่เบื้องล่าง และที่นี่ยังมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่โดดเด่น โดยเฉพาะด้วยหินรูปทรงแปลกตาและต้นสนโบราณ ยอดเขาทั้งเล็กและใหญ่ซ่อนตัวและปรากฏขึ้นอีกครั้งในคลื่นเมฆที่ไร้ขอบเขต
เมื่อถึงช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์กำลังจะตก ทะเลหมอกจะถูกย้อมด้วยสีสันดูสดใส แสงที่วาววับจะถือว่าทุกเฉดสีตั้งแต่สีแดงไปจนถึงสีม่วง หากอากาศปกติทะเลหมอกจะสงบราวกับกระจก แต่เปลี่ยนผันเป็นเกลียวคลื่นเมื่อมีลมแรง และคุณจะประทับใจกับความงามเมื่อใบไม้สีแดงทั้งหมดลอยอยู่บนเมฆสีขาวในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเมฆทะลักระหว่างยอดเขาราวกับแม่น้ำที่โหมกระหน่ำ ในขณะที่ใบไม้สีแดงพลิ้วไหวอย่างละเอียดอ่อนในสายลม
ภูเขาหวงซานมีสะพานไม้ยาวกว่า 50 เมตร สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมวิวทิวทัศน์ในจุดต่างๆ และเป็นที่ตั้งของเมฆและหมอก ทะเลเมฆมีความงดงามราวกับเทพนิยาย ซึ่งสถานที่ชมวิวทะเลหมอกบนเขาหวงซานมีด้วยกันหลายจุด ได้แก่ ทะเลหมอกตะวันออก ทะเลหมอกใต้ ทะเลหมอกตะวันตก ทะเลหมอกเหนือ และทะเลกลางหรือทะเลสวรรค์ เป็นต้น
Credit : hangzhouprivatetour .com
ทะเลหมอกตะวันออก
ถ้าคุณขึ้นไปที่จุดชมวิวทะเลหมอกตะวันออก คุณจะพบกับทะเลก้อนเมฆที่ปกคลุมหุบเขา Huangshan กับภาพเบื้องล่างที่เป็นชุมชนของมณฑลอานฮุย และแสดงว่าคุณอยู่จุดที่สูงที่สุดระหว่าง Huangshan และมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางตะวันออกของเทือกเขาเม็กซิโก
Credit : carturedabroad .com
ทะเลหมอกใต้
จุดชมวิวทะเลหมอกใต้หรือเรียกอีกอย่างว่าทะเลหมอกหน้า บน Jade Screen Pavilion เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมทะเลหมอก นอกจากจะได้พลิดเพลินกับทะเลหมอก ยังได้ชมวิวทิวทัศน์ของต้นสนได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
Credit : hangzhouprivatetour .com
ทะเลตะวันตก
สถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของทะเลตะวันตกคือ Cloud Dispelling Pavilion มียอดเขามากมายเหมือนป่าหัวลูกศร เมื่อเมฆเคลื่อนตัวไปในสายลม ภูเขาก็ปรากฏขึ้นและหายไปทีละชั้น ราวกับเกาะมากมายในทะเลที่ไร้ขอบเขต เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทิวเขาจะเรืองแสงเป็นสียามพระอาทิตย์ตก ทางใต้ของ Cloud Dispelling Pavilion มี Flying Over Rock ที่มีชื่อเสียง
Credit : freepik
ทะเลหมอกเหนือ
ทะเลเหนือหรือทะเลด้านหลัง บริเวณนี้จะมีอากาศชื้นไหลเวียน เมฆก็เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสง ยอดเขาจะถูกอาบด้วยแสงแดด จากนั้นครู่ต่อมาก็ถูกเมฆบดบัง เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมซึ่งไม่มีอะไรสามารถเปรียบเทียบได้ และจุดชมวิวที่สวยที่สุด คือ Lion Peak และ Refreshing Terrace ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมทะเลหมอกทางเหนือเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกด้วย
Credit : hangzhouprivatetour .com
ทะเลหมอกกลาง หรือทะเลสวรรค์
Bright Top เป็นจุดชมทิวทัศน์ในทะเลหมอกกลางหรือทะเลสวรรค์เนื่องจากพื้นดินสูงและกว้างขวาง จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก และเมื่อเดินชมทะเลหมอกเสร็จ สามารถเดินลงเขาด้วยบันไดเมฆที่มีถึง 100 ขั้น จนถึงเขายอดดอกบัวที่สูงตระหง่าน ซึ่งบนเขาแห่งนี้มีกิจกรรมให้คล้องกุญแจคู่รัก เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะรักกันตลอดไปด้วย
สำหรับใครที่อยากเดินทางไปชมทะเลหมอกที่ภูเขาหวงซาน สามารถเดินทางมาโดยรถไฟและเครื่องบินได้และโดยสารรถประจำทางที่เชื่อมต่อกับเมือง Huangshan ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะจอดบริเวณฐานของภูเขาพอดี สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาถึงสามารถขึ้นรถเคเบิลหรือเดินขึ้นไปยังยอดเขาได้เลย
และนี่ก็คือสถานที่ชมวิว ทะเลหมอก ทั้งหมดที่เรานำฝากกันค่ะ มีทั้งในไทยและต่างประเทศเลย หวังว่าแฟนๆ บาริโอจะชอบกันนะคะ และหากใครเตรียมตัวจะไปเที่ยว อย่าลืมแวะชมทะเลหมอกด้วยนะคะ ^^
สามารถติดตามผลงานต่าง ๆ ของทาง Bareo ได้ที่ช่องทางเว็บไซต์ของ Bareo หรือทาง Facebook : Design by Bareo ที่จะคอยอัพเดทข่าวสาร งานดีไซน์ และผลงานการออกแบบตกแต่งภายในมากมาย ให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้ และความสนุกตลอดทั้งปี
หรือหากสนใจจะออกแบบตกแต่งภายในกับทาง Bareo ทางเราก็มีบริการออกแบบภายในครบวงจร โดยสามารถอ่านรายละเอียดการให้บริการของเราได้ที่นี่ คลิ๊ก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
chinahighlights .com
digitaltravelcouple .com
livejapan .com
wearetravelgirls .com

CONTENT RELATED

NEW CONTENT

PORTFOLIO