Places on Money
สถานที่บนเงิน

แรงบันดาลใจในแง่ของศิลปะจากผลงานสถาปัตยกรรมนั้นมีอยู่มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ของใกล้ตัวที่เราใช้กันอยู่ทุกวันอย่าง “เงิน” หลายคนคงเคยผ่านตาไปกับรูปภาพสวยๆบนธนบัตรและเหรียญประเภทต่างๆ ทั้งจากสกุลเงินไทยและต่างประเทศ แล้วรู้รึไม่ว่ารูปสถาปัตยกรรมสวยๆ ที่ถูกเลือกนำมาพิมพ์ลงไปบนธนบัตรและเหรียญเหล่านั้น ต่างก็ถูกคัดสรรและเลือกมาอย่างดีแล้ว ใครอยากรู้ว่าแต่ละรูปนั้นมีที่มาที่ไปและมีความสำคัญอย่างไร ตามมาดูกันค่ะ

เหรียญ 1 บาทไทย

Credit : Design by Bareo
ภาพแรกที่เราเห็นกันบ่อยมากที่สุด ก็คงเป็นภาพเจดีย์ที่อยู่บนด้านหลังเหรียญ 1 บาทไทย ซึ่งถือเป็นเหรียญที่เราคนไทยใช้กันบ่อยมากที่สุดในบ้านเรานั่นเอง ภาพเจดีย์งดงามคุ้นตานี้ คือภาพ “พระศรีรัตนเจดีย์” ตั้งอยู่ในวัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของเรานั่นเอง
Credit : cbtthailand.dasta .or.th
ทางด้านสถาปัตยกรรมของเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์รูปแบบลังกา ตั้งอยู่ด้านหลังองค์พระพุทธปรางค์ปราสาท บริเวณพระอารามหลวงชั้นพิเศษ ความสำคัญก็คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือในหลวงรัชกาลที่ 4 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งปี พ.ศ. 2398 เพื่อเอาไว้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากเมืองลังกา โดยก่อสร้างตามเค้าโครงเดิมตามแบบพระมหาเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สำหรับภาพเจดีย์องค์นี้ ถือเป็นจุดหมายปลายทางต้นๆ ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่หวังจะได้มาชื่นชมกับงานสถาปัตยกรรมอันงดงามของประเทศไทย รวมถึงงานฝีมือด้านอื่นๆอย่างเช่น ภาพวาดจิตรกรรมไทยบนฝาผนังสุดอลังการและ พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ที่เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย และยังจะได้เก็บภาพที่ระลึกจากมุมสวยต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วทั้งวัดกลับบ้านไปด้วยค่ะ

เหรียญ 2 บาทไทย

Credit : Design by Bareo
อีกภาพงานสถาปัตยกรรมไทยที่เราคุ้นตากันแทบทุกวันเช่นกัน คือ ภาพบนด้านหลังเหรียญ 2 บาทไทย นั่นก็คือ “เจดีย์ภูเขาทอง” หรือ พระบรมบรรพต ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดยแต่เดิม “เจดีย์ภูเขาทอง” เป็นนามพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือในหลวงรัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ “พระเจดีย์ภูเขาทอง” แต่คนไทยทั่วไปก็ยังนิยมเรียกกันง่ายๆ สั้นๆ ว่า “ภูเขาทอง”
Credit : cbtthailand.dasta .or.th
เจดีย์ภูเขาทอง ตั้งอยู่ย่านพระนคร ถือได้ว่าเป็นพุทธสถานสุดโดดเด่น เพราะตั้งสูงสง่าเห็นมาแต่ไกลใจกลางเมือง โดยองค์เจดีย์จะมีสีทองอร่ามทอประกายตลอดเวลา แม้ทั้งยามกลางวันและยามค่ำคืน จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของกรุงเทพมหานครฯ
องค์เจดีย์ภูเขาทอง เริ่มก่อสร้างครั้งสมัยในหลวงรัชกาลที่ 3 จนมาก่อสร้างเสร็จสิ้นสมัยในหลวงรัชกาลที่ 5 และมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศอินเดียมาไว้ในองค์พระเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ. 2422 และได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ในช่วงเทศกาลลอยกระทง หลังจากนั้นจึงมีการปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุภูเขาทอง หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากมาช้านานว่า “งานวัดภูเขาทอง” นั่นเอง

เหรียญ 5 บาทไทย

Credit : Design by Bareo
อย่างที่เราทราบกันว่าส่วนมากเหรียญกษาปณ์ของไทย จะใส่ภาพของพุทธศาสนสถานที่สำคัญของบ้านเมืองเอาไว้ทั้งสิ้น และภาพในเหรียญ 5 บาทไทยของเรา ก็คือ “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” และยังเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า “The Marble Temple” หรือ “วัดหินอ่อน” ถือว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย เนื่องจากพระอุโบสถ ระเบียง ประดับด้วยหินอ่อนสีขาว จากเมืองคาราร่าห์ ประเทศอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นหินอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดในยุคนั้น นอกจากนี้ภายในวัดก็มีความวิจิตรงดงามด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยอย่างโบราณ โดยพระอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข ด้านในบุดด้วยหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา วัดแห่งนี้ออกแบบโดยพระบิดาแห่งสถาปัตยกรรมไทยนั่นก็คือ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือที่คนไทยรูจักกันในนาม “สมเด็จครู” ของงานช่างไทย อีกทั้งวัดแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช ปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย ที่จัดงดงามที่สุดรูปหนึ่งอีกด้วย
Credit : wikipedia
แต่เดิมวัดมีชื่อว่า วัดแหลม หรือ วัดไทรทอง ต่อมาในสมัยในหลวงรัชกาลที่ 4 มีเจ้านาย 5 พระองค์ ได้ทรงร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ โดยในหลวงรัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามว่า “วัดเบญจบพิตร” จนกระทั่งมาถึงในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้มีการสร้างพระราชวังสวนดุสิตขึ้นมา ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้ทรงทำผาติกรรม ( “ผาติกรรม” ในทางพระวินัย หมายถึงการชดใช้ ชดเชย การทดแทนให้แก่สงฆ์ในกรณีที่ทำของสงฆ์เสียหาย หรือ การรื้อของเดิมของสงฆ์ที่ไม่ดีออก เพื่อต้องการทำใหม่ให้ดีกว่าของเก่า โดยค่าผาติกรรม จะต้องมีค่าหรือมีราคามากกว่าสิ่งของหรือที่ดินของวัดที่ถูกผาติกรรมไป มิเช่นนั้นจะไม่เป็นผาติกรรม ) จากนั้นจึงสถาปนาวัดขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นวัดประจำพระราชวังดุสิตและได้พระราชทานนามว่า “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” แปลได้ว่า วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 โดยปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้บรรจุพระสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ไว้ ณ ที่แห่งนี้นั่นเอง

เหรียญ 10 บาทไทย

Credit : Design by Bareo
อีกหนึ่งเหรียญที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ นั่นก็คือ เหรียญ 10 บาทไทย ซึ่งมีภาพของพระปรางค์วัดอรุณ ซึ่งถือเป็นงานสถาปัตยกรรมไทยขนาดใหญ่ที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยในภาพจะมีปรางค์ประธานและปรางค์รองอีก 4 ปรางค์ ซึ่งได้รับการบูรณะอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากความเก่าแก่ของปรางค์ โดยมีการประดับตกแต่งด้วยเปลือกหอย กระเบื้องเคลือบ จานชามเบญจรงค์หลากสีสัน นำมาต่อเรียงกันเป็นลายดอกไม้ ใบไม้ และลวดลายสวยงามอื่นๆมากมาย ซึ่งวัสดุตกแต่งส่วนใหญ่ถูกนำขึ้นเรือสำเภามาจากประเทศจีนตั้งแต่อดีต
นอกจากนี้ยังมีการประดับตกแต่งเป็นรูปสัตว์และสิ่งมีชีวิตในตำนานความเชื่อของไทย อย่างเช่น กินนร กินรี ยักษ์ เทวดา และพญาครุฑ ส่วนยอดบนสุดของพระปรางค์ติดตั้งยอดนภศูล ที่เป็นเหล็กแหลมเก้าปลายอย่างสมัยโบราณ พระปรางค์วัดอรุณ มีความสูงจากฐานถึงยอด 81.85 เมตร เป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยและสูงที่สุดในในโลก นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์และเป็นโลโก้ของการท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกด้วย
Credit : wall.alphacoders .com
วัดอรุณราชวราราม สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” แล้วเปลี่ยนมาเป็น “วัดแจ้ง” ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมายังสมัยในหลวงรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่วัดครั้งใหญ่แล้วพระราชทานนามให้ใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” จนมาถึงสมัยในหลวงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดเพิ่มเติม แล้วเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดอรุณราชวราราม” โดยมีชื่อเต็มจริงๆว่า “วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร”
ในส่วนความสำคัญของวัดถือว่าเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร อยู่ในเขตพระบรมมหาราชวังเดิม และยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต เมื่อครั้งสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี โดยพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานผ้าพระกฐินทางชลมารค ซึ่งถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำในรัชสมัย

แบงค์ 1,000 เยนญี่ปุ่น

Credit : en.numista .com
ข้ามมาฟากประเทศญี่ปุ่น ภาพที่ถูกใส่ลงไปในเงินตราของญี่ปุ่นนั้น ส่วนมากจะเป็นนักปรัชญา นักกวี และบุคคลที่สร้างแรงบันดาจใจมากกว่าบุคคลสำคัญจากสาขาอื่นๆ และส่วนด้านหลังก็มักจะเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ดอกไม้ ศิลปะของญี่ปุ่นและสถานที่สำคัญ โดยภาพบนธนบัตรใบแรกที่เราจะพูดถึง คือ แบงค์ 1,000 เยนญี่ปุ่น เป็นภาพของ “ทะเลสาบโมโตสุโกะ” ซึ่งเป็นทะเลสาบอันไกลโผ้นที่ปรากฎอยู่บนด้านหลังธนบัตร ซึ่งก่อตัวขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟฟูจิ
Credit : thegate12 .com
ทะเลสาบโมโตสุโกะ มีระดับความลึกลงไปถึง 121 เมตร ใต้พื้นผิวหินสีลาพิส ลาซูลี เป็นทะเลสาบที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกและลึกที่สุดในบรรดาทะเลสาบฟูจิทั้ง 5 ที่มีชื่อเสียง และเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดอันดับ 9 ในประเทศญี่ปุ่น ทะเลสาบโมโตสุโกะ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu เป็นที่นิยมสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น วินด์เซิร์ฟ เรือแคนู และเรือยอร์ช ด้วยความที่น้ำบริเวณนี้มีความใสมาก จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักดำน้ำและชาวประมงที่มาจับปลาเป็นพิเศษ
ด้านล่างของทะเลสาบทะเลสาบโมโตสุโกะ มีตำนานเรื่องเล่าโบราณว่า มีมังกรอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย และตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ทะเลสาบแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่บัญญัติโดยผู้แสวงบุญฟูจิโกะที่บูชาภูเขาไฟฟูจิในฐานะเทพเจ้า และบางครั้งหากเราเดินทางไปท่องเที่ยวยังทะเลสาปแห่งนี้ เราก็ยังสามารถพบเห็นพิธีกรรมเหล่านี้ได้ในปัจจุบัน

แบงค์ 2,000 เยนญี่ปุ่น

Credit : reddit .com
เป็นที่ทราบในบรรดาคนญี่ปุ่นว่า ธนบัตรใบละ 2,000 เยน นั้นพบเจอได้ยากสุดๆ แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็มีน้อยคนนักที่เคยพบเห็น เพราะธนบัตรใบละ 2,000 เยนนี้ ถูกผลิตขึ้นในปี ค.ศ.2000 ซึ่งตรงกับสมัยของนายกรัฐมนตรี เคโซ โอบุจิ เป็นธนบัตรที่ระลึกสำหรับการประชุม G8 Summit ครั้งที่ 26 โดยมีความแตกต่างและโดดเด่นจากธนบัตรฉบับอื่นๆ เพราะรูปภาพบนธนบัตรไม่ได้เป็นรูปบุคคลสำคัญอย่างที่เคยมีมา โดยด้านหน้าของธนบัตรจะมีภาพของประตู “ชูเรมง” ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดโอกินาว่า
โดยสาเหตุที่ประตูแห่งนี้ได้รับเลือกมาปรากฏให้อยู่บนธนบัตรรุ่นพิเศษ ต้องเล่าย้อนไปในปี ค.ศ. 1853 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีการเปิดประเทศโดยรัฐบาลโชกุน ได้มีเรือมาเทียบท่าที่เมือง Uraga หนึ่งในกลุ่มคนที่ยกพลมาเทียบท่านั้นก็คือ Matthew Calbraith Perry พลทหารชาวอเมริกัน โดยก่อนที่เพอร์รี่จะยกพลมาถึงที่อุรากะ ได้มีการยกพลขึ้นฝั่งที่เกาะริวกิว ( เมืองโอกินาว่าในปัจจุบัน ) เพื่อทำการสำรวจที่พื้นที่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยึดครองโอกินาว่านั่นเอง ในสมัยนั้นประเทศอเมริกาเชื่อว่า โอกินาว่า เป็นจุดศูนย์กลางของทวีปเอเชีย และอเมริกายังเล็งเห็นแล้วว่าโอกินาว่าสามารถเป็นฐานที่มั่นของกองทัพฝั่งในเอเชียได้เป็นอย่างดี จนในที่สุดกองทัพอเมริกาก็สามารถยึดครองเมืองโอกินาว่าไปได้ในระยะเวลาหนึ่ง หลังจากสงครามเวียดนาม โอกินาว่า ได้กลายเป็นฐานทัพของอเมริกาอย่างเต็มตัว และถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดเสียหายอย่างหนัก ในยุคสงครามเย็นต่อมา โอกินาว่า ก็ยังคงเป็นฐานทัพของอเมริกาอยู่ต่อไป แต่ปัจจุบันเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้วที่โอกินาว่าได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง
Credit : wikipedia
การที่ประตู “ชูเรมง” ที่อยู่ที่ โอกินาว่า ได้ถูกเลือกมาอยู่บนธนบัตรใบพิเศษนี้ ก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่า ครั้งหนึ่งโอกินาว่า เคยอยู่ใต้อำนาจของประเทศอเมริกา และต้องการให้ธนบัตรใบนี้ เป็นเครื่องเตือนใจจากสงครามในครั้งนั้นนั่นเอง
ธนบัตรใบละ 2,000 เยนนี้ เป็นที่ต้องการของประชาชนอย่างมาก จนหายไปจากท้องตลาดอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ที่ได้ครอบครองส่วนใหญ่ก็จะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกไม่ค่อยนำเอาออกมาใช้กัน
ด้านงานก่อสร้างประตูชูเรมอน ชูเรมอน เป็นประตูไม้โพลีโครมสไตล์จีน ที่ใช้ในพิธีการ ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทชูริ สร้างขึ้นตามคำสั่งของกษัตริย์โชชิน ระหว่างปี ค.ศ. 1527 ถึง ค.ศ. 1555 และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางที่สุดของโอกินาว่า เป็นประตูพิธีหลักของปราสาท ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ศาลคอยต้อนรับทูตานุทูตและอาคันตุกะสำคัญอื่นๆ ที่มาเยือน

แบงค์ 10,000 เยนญี่ปุ่น

Credit : japancheapo .com
อีกหนึ่งภาพที่ถูกพิมพ์ลงในธนบัตร10,000 เยนญี่ปุ่น ก็เป็นรูปปั้นนกโฮโอะสีทอง ของวัดเบียวโดอิน จังหวัดเกียวโต ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญและมีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองอุจิ จังหวัดเกียวโต สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเฮอัง ในปี ค.ศ. 1052 หรือราวๆ 1,000 ปีมาแล้ว อาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัดคือ วิหารฟีนิกซ์ หรือ ศาลาอมิตาภะ ( พระอมิตาภพุทธะ ) อีกทั้งยังเป็นวัดที่ได้รับคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่นอีกด้วย
Credit : digistyle-kyoto .com
ส่วนที่โดดเด่นของวัดเบียวโดอิน คือ วิหารฟีนิกซ์ หรือ Phoenix Hall ซึ่งเป็นวิหารไม้สีแดง ตั้งอยู่ตรงกลางวัด ซึ่งตัววิหารยังคงเป็นโครงสร้างดั้งเดิมตั้งแต่อดีต ด้านบนตรงมุมหลังคาจะมีรูปปั้นนกโฮโอะ หรือที่คนทั่วไปนิยมเรียกว่านกฟีนิกซ์ ซึ่งมีจำนวน 2 ตัว วิหารถูกล้อมรอบด้วยบึงน้ำที่เต็มไปด้วยปลาคาร์ปขนาดใหญ่ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัววิหารนั้น กำลังลอยน้ำอยู่
Credit : digistyle-kyoto .com
ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา อาคารต่างๆ ของวัดเบียวโดอินเสียหายและถูกทำลายอยู่หลายครั้ง แต่วิหารแห่งนี้เป็นหนึ่งในอาคารไม้เพียงไม่กี่หลังที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย สำหรับใครที่อยากมาชมวิหารแห่งนี้ก็สามารถเดินทางมาชมสถาปัตยกรรมอันงดงามที่ทั้งสวยงามและมีเอกลักษณ์ของวัดเบียวโดอินได้ทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะค่อยๆเปลี่ยนสีไปเป็นสีส้มแดง ซึ่งเป็นฤดูที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเยี่ยมชมมากที่สุด

แบงค์ 100 ดอลล่าไต้หวัน

Credit : carousell .sg
มาต่อกันที่ประเทศไต้หวัน ธนบัตร 100 ดอลล่าไต้หวัน ก็มีรูปสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจมากเช่นกัน นั่นก็คือ ภาพของ “อาคารจงซาน” ซึ่งอาคารแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานซุนยัตเซ็น ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1966 ตัวอาคารตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซัน ในเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน อาคารแห่งนี้มีความสำคัญเพราะเคยใช้เป็นสถานที่ประชุมของรัฐสภา และปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานพิธีต่างๆ ของสภาประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีน สำหรับการเยือน และการประชุมระดับรัฐ ถูกจัดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ โดยวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1965 ประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค ได้จัดพิธีเปิดอาคารจงซานอย่างยิ่งใหญ่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของอาคารแห่งนี้
Credit : wikimedia
“อาคารจงซาน” มีพื้นที่มากกว่า 130,000 ตารางเมตร ตัวอาคารมีขนาดมากกว่า 18,000 ตารางเมตร และสูง 34 เมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางธรณีวิทยาและภูมิประเทศที่เป็นภูเขาไฟที่มอดดับแล้ว โครงสร้างอาคารตั้งอยู่บนพื้นดินที่มีความร้อนใต้ดิน ดินยังมีความแข็งไม่เท่ากัน มีส่วนผสมของดินอ่อนและหินแข็ง ช่วงเวลาการก่อสร้างนั้น ใช้เครื่องมือและเครื่องจักรที่เรียบง่าย มีความยากลำบากของงานก่อสร้าง แต่ก็โชคดีที่คนงานก่อสร้างทุกคนมีความขยันขันแข็งและต้องการสร้างอาคารแห่งนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ จนทำให้การก่อสร้างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยใช้เวลาก่อสร้างเพียง 1 ปี 1 เดือน และอีก 4 วัน
ด้านสถาปัตยกรรม สร้างขึ้นตามศิลปะพาไลเชียลแบบจีน อีกทั้งยังเป็นอาคารแบบคลาสสิกเพราะสร้างพิงภูเขาและตั้งเรียงไปตามความลาดเอียงของภูเขา ภายนอกและภายในสง่างาม อาคารชั้นบนปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว ชายคายื่นออกมาเหมือนนกอินทรีกำลังสยายปีกแลดูมีชีวิตชีวา มีพลัง ลักษณะภายนอกงดงามเป็นพิเศษด้วยหลังคาสีแดงและผนังสีขาว ถือเป็นอาคารที่สร้างขึ้นในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาวัฒนธรรมจีนในไต้หวัน

แบงค์ 200 ดอลล่าไต้หวัน

Credit : theworldnote .com
อีกหนึ่งภาพสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ถูกตีพิมพ์ลงบนธนบัตร 200 ดอลล่าไต้หวัน ก็คือภาพของอาคารสำนักงานประธานาธิบดี เป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีนในไต้หวัน อาคารตั้งอยู่ในเขตจงเจิ้ง ในเมืองหลวงของไทเป ออกแบบโดยสถาปนิก Uheiji Nagano ในช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาปกครองไต้หวัน เดิมทีอาคารหลังนี้ใช้เป็นสำนักงานผู้ว่าการไต้หวันมาก่อน
Credit : wikipedia
อาคารแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามได้รับการบูรณะโดย Chen Yi ผู้ว่าราชการจังหวัดไต้หวัน กลายเป็นสำนักงานประธานาธิบดีในปี 2493 หลังจากที่รัฐบาลของสาธารณรัฐจีนสูญเสียการควบคุมจีนแผ่นดินใหญ่ และย้ายเมืองหลวงของประเทศไปยังไทเปเมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมืองในจีน
การออกแบบสถาปัตยกรรมของ Uheiji Nagano ได้รับคัดเลือกในปี ค.ศ. 1910 ลักษณะของการออกแบบตามแบบฉบับของสถาปนิกญี่ปุ่นในยุคอาณานิคมของไต้หวัน ได้แก่ ส่วนหน้าอาคารมีการผสมผสานอย่างสร้างสรรค์ขององค์ประกอบแบบสไตล์ยุโรปดั้งเดิม ( เรอเนซองส์ บาโรก และนีโอคลาสสิก ) แบบอาคารถูกส่งไปยังโตเกียวเพื่อแก้ไขการออกแบบดั้งเดิมของสถาปนิก โดยทางการโตเกียวได้เพิ่มความสูงของหอคอยกลางจาก 6 ชั้นแรกเป็น 11 ชั้น และทำการปรับปรุงแนวป้องกันและหอคอยมุม และได้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1912 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1919 ด้วยราคา 2.8 ล้านเยนญี่ปุ่น ได้กลายเป็นหนึ่งในอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในไต้หวัน ณ ช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองหลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้น ปัจจุบันอาคารแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลและเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในตัวเมืองไทเป
ภาพที่ถูกนำใส่ลงไปในธนบัตรและบนเหรียญจากทั่วทุกมุมโลก ต่างก็มีเรื่องราวความเป็นมาทุกภาพ ดังนั้นเงินตราเหล่านี้จึงไม่ได้มีหน้าที่แค่นำมาไว้ใช้แลกเปลี่ยน หรือเอาไว้เฉพาะ ซื้อ หรือ ชำระ สินค้าและสิ่งของต่างๆตามกฏหมายเท่านั้น แต่ทว่าเปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน และถูกรวบรวมนำมาบันทึกไว้บนกระดาษและเหรียญชิ้นเล็กๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายคนหันมาสะสมธนบัตรและเหรียญเป็นงานอดิเรก สำหรับใครที่มีธนบัตรหรือเหรียญต่างๆอยู่ในมือ ก็ลองดูว่าภาพที่คุณเห็นนั้นคือสถานที่อะไรและมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์มากขนาดไหน ลองไปค้นหาคำตอบกันนะคะ
สามารถติดตามผลงานต่าง ๆ ของทาง Bareo ได้ที่ช่องทางเว็บไซต์ของ Bareo หรือทาง Facebook : Design by Bareo ที่จะคอยอัพเดทข่าวสาร งานดีไซน์ และผลงานการออกแบบตกแต่งภายในมากมาย ให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้ และความสนุกตลอดทั้งปี
หรือหากสนใจจะออกแบบตกแต่งภายในกับทาง Bareo ทางเราก็มีบริการออกแบบภายในครบวงจร โดยสามารถอ่านรายละเอียดการให้บริการของเราได้ที่นี่ คลิ๊ก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
wikipedia
yamanashi-kankou .jp
th.trip .com
digistyle-kyoto .com
theworldnote .com
chungshanhall .ntl.edu.tw

CONTENT RELATED

NEW CONTENT

PORTFOLIO