“บ้านพักอาศัยสไตล์ Modern Luxury ที่เน้นการใช้โทนสีเข้มเป็นโทนหลักในการออกแบบ สร้างบรรยากาศสุขุม ภูมิฐาน ผ่อนคลายทั้งยังงดงามราวกับงานศิลปะในเวลาเดียวกัน”
- Master Bedroom
- Dining Area
- Working Area
สไตล์ Modern Luxury เป็นการนำเอาความเรียบง่ายและลงตัวของสไตล์ Modern ที่จะเน้นการใช้เส้นและรูปทรงเรขาคณิต มาผสมผสานกับเอกลักษณ์และ materials ที่สร้างให้เกิดบรรยากาศ Luxury ตามแบบฉบับเฉพาะตัวและความชอบของเจ้าของบ้าน
ทันทีที่ก้าวผ่านประตูใหญ่เข้ามาในตัวบ้าน สิ่งแรกที่เราสามารถสัมผัสได้คือบรรยากาศสงบนิ่งและหรูหราจากพื้นที่โซน Foyer ที่เมื่อมองทะลุผ่านซุ้มประตูที่ดีไซน์อย่างประณีต ที่ชั้นนอกจะใช้สีเทาเพื่อเสริมให้เส้นแสตนเลสสีทองดูโดดเด่นมากขึ้น ส่วนซุ้มชั้นในก็จะใช้สีโอ๊คดำที่สร้างมิติ ทำให้เมื่อมองไปยังห้องรับประทานอาหาร ก็จะดูโดดเด่นงดงามราวกับภาพวาด
ทางด้านซ้ายมือจะเป็นพื้นที่สำหรับตั้งโชว์ Sculpture เป็นอีกหนึ่งจุดนำสายตา ตัวช่องเจาะให้ความสูงด้านบนอยู่ในระดับเดียวกับซุ้มประตูเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ผนังภายในช่องจะทาสีเทาเพื่อที่เวลาวาง Sculpture และส่องไฟลงมาจะช่วยเสริมให้ชิ้นงานดูงดงามยิ่งขึ้น ผนังโดยรอบนั้นจะใช้เป็นกระจกสีชาดำ ที่นอกจากจะสร้างกลิ่นอายของความสุขุมแล้ว ยังทำให้พื้นที่บริเวณนี้ดูกว้างขวางมากขึ้นอีกด้วย
และฝั่งตรงข้ามกันก็จะเป็นบันไดที่จะพาขึ้นไปสู่ชั้นสองของตัวบ้าน ที่ดีไซน์เนอร์ของเราได้ออกแบบราวกันตกในสไตล์ Modern Deco หรือการเอางานสไตล์ Art Deco มาลดทอนเพื่อให้เกิดความลงตัวกับพื้นที่
ทางด้านขวามือจะเป็นโซนรับแขกที่มีดีไซน์ของแผงทีวีที่โดดเด่น เป็นพื้นที่บริเวณที่เชื่อมต่อกับโถง Foyer โดยตรง ดังนั้นจึงออกแบบให้มีบรรยากาศไปในทิศทางเดียวกันโดยทางซ้ายที่มีผนังกระจกสีชาดำ ทางขวาเองก็มีแผงทีวีหิน Black Marquina ตัดด้วยเส้นแสนตเลสสีทองเพื่อนำสายตาไปยังทีวี แต่เพื่อไม่ให้พื้นที่บริเวณนี้ทึบจนเกินไป จึงทาสีช่องวางของใต้ทีวีให้เป็นสีทองเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับพื้นที่
ที่บริเวณชั้นวางของทั้งสองด้านนั้นยัง เน้นการใช้วัสดุและลวดลายธรรมชาติเช่นลายวอลนัท ที่ให้กลิ่นอายของความคลาสสิกที่สมฐานะ และสีโทน Warm White ในกล่องไฟที่ดีไซน์ออกมาเป็นพิเศษยิ่งทำให้ตัวชั้นวางมีลูกเล่นมากขึ้น
ผนังตกแต่งบริเวณด้านหลังโซฟาจะใช้วัสดุโทนสีเข้มและเสริมด้วยกระจกสีชาดำ เพื่อล้อกับบริเวณผนังวาง Sculpture โดยพื้นที่บริเวณนี้ออกแบบขึ้นมาสำหรับแขวนภาพศิลปะเพื่อทำให้พื้นที่มีชีวิตชีวามากขึ้น ทั้งในยามกลางวันที่ตัวห้องจะได้รับแสงจากธรรมชาติจากหน้าต่างทั้งสองฝั่ง แต่ผนังทึบบริเวณนี้จะช่วยปกป้องงานศิลปะจากแสงแดด ทำให้ตัวพื้นที่มีแสงที่สว่างและ มีงานออกแบบและศิลปะที่สง่างาม เหมาะแก่การรับรองแขกในเวลาเดียวกัน
เมื่อเข้ามาถึงโซนรับประทานอาหาร ก็จะพบกับบรรยากาศที่สว่างไสวมากขึ้น ทั้งจากการใช้สีโทนสว่างและหน้าต่างบานใหญ่ ผนังทั้งสองข้างจะเป็นผนังตกแต่งยกสเต็ปสีเทาตกแต่งด้วยไฟกิ่งเพื่อช่วยเสริมจุดนำสายตาของห้องนี้คือผนังหินสีดำที่ใช้หินชนิดเดียวกับบริเวณห้องรับแขก ล้อมรอบคิ้วแสตนเลสและผนังกระจกสีชาทอง สำหรับวาง Sculpture ให้โดดเด่น
ที่ด้านข้างผนังตกแต่งจะมีทางเดินที่นำไปสู่ห้องนอนชั้นล่าง บริเวณขวามือนั้นเป็นชั้นวางของสะสมชิ้นเล็ก แต่เดิมส่วนนี้จะเป็นช่องหน้าต่างแต่ดีไซน์เนอร์ของเราก็ตัดสินใจใช้กรอบหน้าต่างเดิม ปิดทึบด้านหลังและกรุด้วยกระจกสีชาทอง เมื่อวางชั้นกระจกใสเข้าไปจึงทำให้บริเวณนี้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ห้องนอนบริเวณชั้นล่างนั้น เป็นห้องนอนสำหรับผู้ใหญ่ในบ้าน ดังนั้นบรรยากาศโดยรวมของตัวห้องจึงออกแบบให้เกิดความรู้สึกสงบนิ่งและผ่อนคลาย และมีกลิ่นอายสไตล์จีนเล็กน้อยใน Pattern ที่ใช้ตกแต่งบริเวณผนังหัวเตียงที่เป็นเส้นคิ้วที่มีความหนา เพื่อให้เกิดมิติตัดกับผนังลามิเนตลายผ้าสีครีมอ่อน และ Headboard ผ้าดึงดุมที่ช่วยเสริมความสง่างามให้กับตัวห้อง
บริเวณตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างกันเองก็ใช้สีสันจากบริเวณหัวเตียงเข้ามาใช้เพื่อให้ความกลมกลืนกันภายในตัวห้อง รวมไปถึงแผงทีวีที่ปลายเตียงเองก็ใช้วัสดุและลวดลายเดียวกัน ทั้งส่วนพื้นที่เก็บของใต้ทีวียังได้รับแรงบันดาลใจพิเศษมาจาก ‘เตาผิง’ ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน
|| Stair Hall & Working Area ||
เมื่อขึ้นบันไดขึ้นมายังชั้นสองก็จะพบกับส่วนทำงานที่ถูกจัดวางไว้ท่ามกลางงานศิลปะและงานออกแบบ ราวกับอยู่ในแกลลอรี่
เริ่มตั้งแต่ผ้าเพดานที่ดรอปฝ้าเข้าไปหลายชั้น โดยจะทาสีสลับกันระหว่างสีขาวและสีเทา ตรงกลางแขวน Chandelier ระย้างามสง่า เมื่อมองจากข้างล่างขึ้นมาตรงส่วนนี้เองก็ดูงดงามราวกับงานศิลปะชิ้นใหญ่ ไม่น้อยหน้าผนังตกแต่งที่มีลูกฟักไม้ทาสีเทาล้อมรอบกรอบผนังกระจกสีชาดำที่ช่วยเสริมให้งานศิลปะที่เลือกตามความชอบของลูกค้าดูโดดเด่นอลังการ ซึ่งวัสดุเดียวกันนั้นเองก็ยังนำไปใช้กับผนังสีขาวบริเวณชั้นสอง ที่ขนาบสองข้างด้วยกระจกสีชาดำและเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้สำหรับแขวนงานศิลปะ
ที่ด้านข้างโถงบันไดนั้นจะมีโต๊ะทำงานตัวยาววางอยู่ ทั้งยังมีชั้นวางของด้านข้างและชั้นวางหนังสือที่ด้านหลัง รวมไปถึงบริเวณนั่งพักผ่อนเล็กๆ ข้างหน้าต่างซึ่งทั้งหมดคุมโทนงานออกแบบให้เป็นสีเทาเข้ม ที่วางอยู่บนผืนผนังสีขาวสะอาด ให้ความรู้สึกจริงจังและเหมาะแก่การทำงาน
และเมื่อเดินผ่านส่วนทำงานเข้ามาก็จะพบกับห้องนอนใหญ่ที่หรูหราด้วยการใช้หิน Black Marquina เจียรขอบตัดด้วยเส้นสแตนเลสสีทองเช่นเดียวกับบริเวณห้องรับแขกและห้องรับประทานอาหารวิ่งเป็น Pattern แนวนอนให้ความรู้สึกสงบ ไล่ลงมาจนเจอกับ Headboard หนังสีครีมที่ออกแบบให้ปลายสองข้างงุ้มเข้ามาราวกับโอบล้อมคุ้มครองเตียงเอาไว้
ผนังข้างเตียงทั้งสองด้านจะใช้กระจกเงาติดบริเวณผนังเพื่อสร้างมิติให้กับตัวห้อง ส่วนตู้เก็บของข้างเตียงนั้นก็เป็นไม้ที่เซาะร่องเป็น Pattern ที่ถูกนำไปใช้บริเวณฐาน Daybed เช่นกัน ส่วนผนังทีวีตรงข้ามกับเตียงนั้นจะใช้วัสดุหินเป็นหลัก และเมื่อใช้หินสีน้ำตาลเข้ามาตัดก็ทำให้บริเวณแผงทีวีโดดเด่นมากขึ้น
ภายในห้องนอนใหญ่นั้นยังมีห้อง Walk-in-closet ที่เน้นดทนการตกแต่งให้ดูอบอุ่นหรุหราและครบครันฟังก์ชันการใช้งานในเวลาเดียวกัน ตั้วตู้เสื้อผ้าฝั่งหนึ่งจะเป็นหน้าบานกระจกใสเพื่อให้สามารถมองเข้าไปเห็นสไตล์ของเสื้อผ้าได้อย่างง่ายดาย ส่วนอีกฝั่งเป็นหน้าบานเปิดโล่งไว้สำหรับแขวนโชว์ ที่บริเวณผนังนั้นกรุด้วยผนังลายหินอ่อน พร้อมด้วยตู้เก็บ Accessories เช่นถุงเท้า เข็มขัดและเนคไท ส่วนด้านบนยังมีพื้นที่ไว้สำหรับวางกระเป๋าและของชิ้นใหญ่อื่นๆ
ที่ปลายสุดของห้องจะพบกับส่วนโต๊ะแต่งตัวที่มีลิ้นชักเก็บเครื่องประดับและเครื่องสำอางค์ อยู่ติดกับหน้าต่างเพื่อให้คุณผู้หญิงสามารถนั่งแต่งหน้าโดยใช้แสงธรรมชาติได้อย่างสะดวก และเมื่อหันหลังกลับมาทางประตู ก็จะพบกับกระจกเงาบานใหญ่ที่สามารถส่องดูความเรียบร้อยได้ทั้งตัวก่อนออกจากห้องอีกด้วย
และนี่ก็คือ The Art of Living ผลงานโปรเจคออกแบบและตกแต่งภายในที่เราได้นำมาให้ทุกท่านรับชมกันในเดือนนี้ค่ะ
หากสนใจดูผลงานอื่นๆ ของเราก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ Portfolio ของเว็บไซต์ Bareo-Isyss หรือ ถ้ามีข้อสงสัยก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ 02 408-1341 – 44 และ 085 072-8998 และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Design by Bareo ค่ะ
แล้วพบกันใหม่ในเดือนหน้า
สวัสดีค่ะ : )